พลังของธรรม
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
เทศน์บนศาลา วันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๔๕
ณ วัดป่าสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
นั่งทำความสงบ ตั้งใจทำความสงบของใจ ให้ใจมันสงบให้ได้ ถ้าใจเราสงบได้เราได้ เราได้สัมผัสธรรมนะ วันนี้วันพระมหาปวารณา พระปวารณากัน เพื่อให้ตักเตือนกันได้ การตักเตือน ให้สงฆ์ตักเตือนบุคคล ให้พระในสังคมของสังฆะตักเตือนกัน เพื่อความเรียบร้อย เพื่อความดีงาม เพื่อการประพฤติปฏิบัติ เพื่อบุคคลคนนั้น นี้ก็เหมือนกัน เราจะตักเตือนตัวเราเองได้ไหม ถ้าเราตักเตือนตัวเราเองได้ เราเตือนเรานะ เราเตือนเรานี่สำคัญที่สุด ถ้าเราไม่เตือนเราเลย ใครเตือนเราข้างนอก มันมาจากภายนอก สิ่งที่มาจากภายนอก เราจะรับฟังไม่รับฟังนั้น มันเรื่องของเรา เรารับฟังแล้วเราไม่เชื่อก็ได้ เสียงเข้าหูเต็มหู แต่เราไม่ฟังก็ได้
อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ตนตักเตือนตนนี่สำคัญที่สุด ตักเตือนตนเห็นไหม ถ้าตักเตือนตน ตนเริ่มต้นจะเริ่มมีความเข้าใจ มีความพอใจ แล้วจะเริ่มเดินก้าวเดินเข้าไป เราจะก้าวเดินเข้าไปในศรัทธาความเชื่อ เราเชื่อ เราศรัทธาในศาสนา เราศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นเป็นตำรา สิ่งที่เป็นตำราเป็นเครื่องดำเนิน สิ่งที่เป็นเครื่องดำเนินเป็นถนนหนทางที่เราจะก้าวเดินไป สิ่งนั้นเป็นที่เราเชื่อถือศรัทธา แต่ความเป็นจริงที่จะสัมผัสกับหัวใจเรายังไม่เกิดขึ้นมาจากหัวใจของเรา
ถ้าเราสัมผัสกับธรรมในหัวใจของเรา อันนั้นธรรมเกิดขึ้นในหัวใจ สิ่งที่เกิดขึ้นในหัวใจ ใจนั้นสัมผัสมันตลอดไป ใจอันนี้นะจะมีความเข้าใจไปเป็นประจักษ์พยานกับตัวเอง สิ่งที่เป็นประจักษ์พยานกับตัวเองนั้นไม่ต้องถามใคร เห็นไหม สิ่งที่ถามใคร สิ่งที่ต้องให้คนอื่นบอก อันนั้นยังเป็นเรื่องภายนอก เรื่องไกลเกินตัว สิ่งที่เป็นปัจจัตตังรู้จำเพาะตนในหัวใจของเราขึ้นมา อันนั้นรู้ขึ้นมาในหัวใจ
ธรรม พลังของธรรม ถ้าพลังของธรรมเกิดขึ้นมาแล้ว ความลังเลสงสัยต่างๆ จะหายไป ถ้าพลังของธรรมไม่เกิดขึ้นมา ศรัทธาความเชื่อเราไม่มีพลังเลย นั้นน่ะ อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ตนจะพึ่งตนได้อย่างไรในเมื่อตนยังไม่เข้าใจสิ่งใด ยังลังเลสงสัย
สิ่งที่ศึกษาธรรม เราพยายามศึกษากันมาเพื่อจะให้เข้าใจ เพื่อจะให้มีช่องทางเดิน นั่นน่ะ ปูนหมายป้ายทาง เราทำเครื่องหมายไว้เป็นเครื่องดำเนิน แล้วดำเนินไปจะสมความปรารถนาของเรา ไม่สมความปรารถนา มันอยู่ที่ความตั้งใจของเรา เราต้องพยายามตั้งใจของเราขึ้นมาให้ได้ ถ้าเราตั้งใจของเราขึ้นมา สติสัมปชัญญะตั้งขึ้นมาให้ได้ ตั้งสติขึ้นมาแล้วพยายามทำความสงบของใจ ใจมันจะสงบได้
ถ้ามันสงบได้ เห็นไหม กิเลสอยู่ในหัวใจ พลังของกิเลสนี้ไม่ต้องพูดถึง พลังของกิเลสมีอยู่โดยดั้งเดิม เป็นธรรมชาติของกิเลสในหัวใจ สิ่งนี้มีอยู่โดยดั้งเดิม แล้วปลุกเร้า ปลุกเร้าหัวใจตลอด สิ่งนี้เผาลนใจแล้วทำให้ใจเดือดร้อนไป ความคิดถ้ามีพลังของธรรมนี่จะกดสิ่งนี้ไว้ จะกดสิ่งนี้ให้สงบตัวลงมาให้ได้ ถ้าเราสงบตัวลงมาได้ เราจะมีที่พึ่ง จะมีความร่มเย็นของใจ ใจจะมีที่พึ่งอาศัย เราอยู่กับความเร่าร้อน เราไม่เข้าใจเลย ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เราศึกษามา มันก็เป็นการว่าใคร่ครวญขึ้นมาแล้วให้เรา ความเชื่อความศรัทธาก็มีความเข้าใจ มีความแก้ไขเรื่องความทุกข์ยาก ความเข้าใจผิด
มิจฉาทิฏฐิ ความเห็นผิด สิ่งที่เป็นความเห็นผิดก็ทำให้เราเร่าร้อนและเผาลนในหัวใจตลอดไป สิ่งที่เผาลนหัวใจ ความคิดอันนั้นเผาลนใจนั้นเรื่องของกิเลส มีแต่โดยดั้งเดิม คิดจากภายใน แล้วก็ทำจากภายนอกไป อย่างมากถึงกับทำให้เราทำผิดพลาดไปได้ ถ้าทำผิดพลาดไป ผลคืออะไร? ผลคือกรรมจากใจดวงนั้น ใจดวงนั้นเชื่อกิเลส กิเลสเป็นพลังงานอยู่ในหัวใจโดยธรรมชาติอยู่แล้ว แล้วก็คิดเห็นไหม คิดไป คิดตามจินตนาการของตัวเองไป นั่นน่ะ หมดกาลหมดเวลาของการประพฤติปฏิบัติ เราจะได้มีความสบายใจของเรา...คิดขนาดนั้นนะ
คิดแต่เรื่องความพอใจของเขา เขาจะคิดแต่เรื่องความสะดวกสบาย ความที่เขาเผาลนในหัวใจของสัตว์โลกได้ อันนั้นเป็นผลงานของเขา สิ่งนั้นคือกิเลสในหัวใจ พลังของกิเลสมีอยู่โดยดั้งเดิมแล้วเผาลนใจ นั่นน่ะ มันน่าสลดสังเวช สลดสังเวชกลับเข้ามาว่ากิเลสของเราแท้ๆ เลย แต่เราไม่เคยเห็นกิเลสของเรา เราไม่สามารถชำระกิเลสของเราได้ จนมีธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ ตรัสรู้ธรรมแล้ววางธรรมไว้จนมีอันนี้มาเป็นเครื่องเทียบเคียง
สิ่งที่เทียบเคียงเข้ามาจากความคิดของเรา...สิ่งนี้ผิดศีลผิดธรรม ถ้าผิดศีลผิดธรรม มันก็ให้ผลเป็นความเร่าร้อนของใจ สิ่งที่ให้ผลความเร่าร้อนของใจ เผาลนใจไปตลอดเวลา แล้วทำไมเรา เราก็รู้ เราก็ปรารถนา ทุกคนอยากมีความสุข อยากทำคุณงามความดี คุณงามความดี ความคิด ความรู้ ความรู้ว่าผิดถูกนี่รู้อยู่ แต่ทำไมฝืนใจตัวเองไม่ได้ ฝืนใจตัวเองให้อยู่ในคุณธรรม คุณงามความดีตลอดไป ทำไมทำสิ่งนี้ไม่ได้? ทำสิ่งนี้ไม่ได้ เพราะกิเลสมันอยู่ในหัวใจ กิเลสนี้มันเกิดขึ้นมา มันเป็นธรรมชาติอันหนึ่งในใจ ต้องพาใจดวงนี้เกิดตายตลอด ใจดวงนี้จะเวียนเกิดเวียนตาย ไปตามอำนาจของกิเลสที่พาเวียนเกิดเวียนตาย
ถ้าไม่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาชี้หน้ากิเลส กิเลสนี้จะหัวเราะเยาะ จะมีความสุขในหัวใจของสัตว์โลกนะ จะพาสัตว์โลกนี้ดำเนินไปตามอำนาจของเขา สิ่งนี้หมุนเวียนไปตลอดไป แล้วอยู่ในหัวใจของเรา นี่เราถ้ามีธรรมเทียบเคียงเข้ามา เราเห็นธรรมเข้ามา นั้นน่ะปูนหมายป้ายทางเข้ามาที่หัวใจของเรานี้ ถ้าปูนหมายป้ายทางเข้ามาแล้ว เราต้องพยายามทำของเรา พยายามตั้งสติของเราขึ้นมา แล้วพยายามทำความสงบของใจ สิ่งที่ทำความสงบของใจนี้ เป็นการต่อสู้กับกิเลส ต่อสู้กับตัวเอง
อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ นี้ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ตนเป็นที่ตักเตือนตน แล้วพยายามทำเข้ามาให้เกิดเป็นธรรมของเรา สิ่งที่เราสัมผัสธรรมของเรา ธรรมในใจดวงนั้นเกิดขึ้น พลังงานจะเกิดขึ้น แต่นี้พลังงานไม่มี เป็นความเชื่อเฉยๆ ตามความเชื่อเฉยๆ ก็เป็นความเข้าใจเฉยๆ สิ่งที่เข้าใจนั้นมา แล้วมันชำระกิเลสไม่ได้ มันเป็นความก้าวเดินไป เป็นความเชื่อแล้วต้องพยายามประพฤติปฏิบัติเข้ามา ถึงเป็น ทาน ศีล ภาวนา
ศีล สมาธิ ปัญญา นั้นละเอียดเข้าไป ถึงที่สุดแล้วต้องเป็นปัญญา ปัญญาในการใคร่ครวญสิ่งต่างๆ เข้ามานั้น เริ่มจากสุตมยปัญญา สุตมยปัญญานี้การศึกษาความเข้าใจเรื่องของธรรม สิ่งที่ความเข้าใจเป็นปริยัติสำคัญไหม? สำคัญ สิ่งที่สำคัญคือการศึกษามาเพื่อจะให้ดำเนินถูกทาง ดำเนินถูกทางขณะที่ดำเนินนั้นคาดหมายไม่ได้ จินตมยปัญญา ความจินตนาการออกไป นี่คาดหมายไป คาดหมายไปมันก็เป็นการส่งออก
คาดหมายเข้ามามันก็เป็นการคาดหมาย มันไม่เกิดภาวนามยปัญญา สิ่งที่เราเกิดว่าสุตมยปัญญานี้ศึกษาแล้ว ศึกษาเพื่อการประพฤติปฏิบัติให้เกิดพลัง พลังตามความเป็นจริง พลังตามหัวใจของเรา เกิดพลังงานตัวนี้ขึ้นมา พลังงานความสงบของใจ พลังงานของเราไม่มี มันเป็นโลกียะ สิ่งที่เป็นโลกียะ เป็นพลังงานของกิเลสพาใช้ไง กิเลสมีส่วนในความคิดอันนั้นตลอดไป เพราะกิเลสอยู่ในหัวใจ กิเลสความคิด ความริเริ่มของใจ
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเย้ยมาร มารเอย เธอเกิดจากความดำริของเรา เราจะไม่ดำริถึงเจ้าอีกเลย เธอจะเกิดจากหัวใจของเราไม่ได้อีกแล้ว ใจขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ที่พ้นจากกิเลสไปแล้ว ฆ่ากิเลส ฆ่ากิเลสเป็นชั้นเป็นตอนเข้ามา ฆ่าเข้ามาจนถึงที่สุด จนกิเลสตายหมดในหัวใจ นั่นน่ะ กิเลสตายได้ในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในใจของอัครสาวกต่างๆ ที่สำเร็จไปแล้ว แต่ในหัวใจของเรากิเลสมันมีอยู่ นี่ความดำริ ความคิดเริ่มต้น นั่นน่ะ มารเกิดจากตรงนี้เห็นไหม
พระพุทธเจ้าบอกเลย เธอเกิดจากความดำริของเรา แล้วเราคิดจะดำริ ดำริชอบ ความเพียรชอบ ความระลึกชอบ อันนั้นเป็นมรรค แต่กิเลสมันก็อยู่ในนี้ด้วย มันถึงเป็นโลกียะ เราเข้าใจว่าเป็นมรรค เราเข้าใจว่าสิ่งนี้เป็นทางถูกทาง เราดำเนินมาถูกทางแล้ว เพราะเราวางตามสุตมยปัญญา ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางไว้ว่า มรรคอริยสัจจังคือเลี้ยงชีวิตชอบ การประพฤติปฏิบัติชอบ ความเพียรชอบ...เราก็ทำชอบของเรา ชอบไปชอบอย่างนั้น ไม่ลงมัชฌิมาปฏิปทา ถ้าลงมัชฌิมาปฏิปทา มันต้องเป็นปัจจัตตัง สิ่งที่เป็นปัจจัตตัง นั่นล่ะ พลังงานของใจจะเกิดจากตรงนี้
ถ้าพลังงานของใจเกิดขึ้นมา พลังงานของใจ พลังงานนี้มันจะมีหยาบละเอียด เห็นไหม หยาบ กลาง ละเอียดขนาดไหน มันจะเข้าไปเริ่มกดกิเลสออกไป ความกดกิเลสออกไป เห็นหน้ากิเลส ชี้หน้ากิเลส แล้วให้กิเลสอาย อายธรรม ถ้าอายธรรม นี่กิเลสสงบตัวลงชั่วคราว นั้นเป็นหินทับหญ้าไว้
สิ่งที่เป็นหินทับหญ้าไว้ถ้าเราเข้าใจผิดตรงนั้น นี่ฌานโลกีย์ สิ่งที่เป็นฌานโลกีย์ พระเทวทัตเหาะเหินเดินฟ้า เหาะไปทรมานอชาตศัตรู นั้นน่ะเหาะเหินเดินฟ้าน่ะฌานโลกีย์ สิ่งที่ฌานโลกีย์ สิ่งนี้ไม่ได้ชำระกิเลส เราทำความสงบของใจนี่เป็นฌานโลกีย์ โลกียะคือฌานโลกีย์ สิ่งที่เป็นโลกียะ สิ่งที่เป็นเรื่องของโลกเขา เรื่องของโลกยังเป็นเรื่องของโลก ไม่เป็นโลกุตตระ สิ่งที่เป็นโลกุตตระ สิ่งที่ชำระกิเลส นี่พลังงานของธรรม ถ้าพลังงานของธรรมละเอียดขึ้นไป มันจะเป็นเริ่มจากเป็นปัญญาเข้ามา เป็นโลกุตตระ สิ่งที่เป็นโลกุตตระเกิดขึ้นจากไหน ถ้าเราไม่มีตำราชี้นำเข้ามา ถ้าไม่มีตำราชี้นำเข้ามา ธรรมยังไม่เกิดขึ้นมา
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปเรียนกับอาฬารดาบส สมาบัติ ๘ ก็เป็นอย่างนี้ นี่สมาบัติคือฌานโลกีย์ สิ่งที่เป็นฌานโลกีย์ทำให้ติดได้ ทำให้มีความสงบของใจ ใจนี้สงบได้ ผู้ที่ไม่มีธรรมในหัวใจ ผู้ไม่มีตำรับตำราปูนหมายป้ายทางจะหลงไปว่าความสงบอันนี้เป็นเรื่องของที่สุดของการประพฤติปฏิบัติคือความสุขของใจ สิ่งที่ความสุขของใจ แต่สัจจะความจริง สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ธรรมทั้งหลายเจริญขึ้น ต้องมีการเสื่อมไปเป็นธรรมดา สิ่งนี้จะต้องเสื่อมจากในหัวใจของผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ ธรรมอย่างหยาบ นี่โลกียะ ฌานโลกีย์นี้เจริญได้เสื่อมได้
เรารักษาขึ้นมา เราทำขึ้นมา เราพยายามประพฤติปฏิบัติขึ้นมานี้ เป็นความตั้งใจจริงของเรา เราพยายามเข็ญ พยายามวิริยอุตสาหะเพื่อให้เกิดขึ้นมาเป็นผลงานของเรา เกิดขึ้นมาเป็นผลงานของเรา แล้วเราก็ไม่สามารถทำให้ก้าวเดินขึ้นไปให้สูงขึ้นไปกว่านั้นได้ ถ้าเราทำให้ก้าวสูงขึ้นไปกว่านั้นได้ จะเป็นสิ่งที่ละเอียดขึ้นไปจากในหัวใจนั้น นี้คือธรรม
สิ่งที่ธรรมนี่คือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าย้อนกลับมาเพื่อเป็นการชำระกิเลส องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้ชำระกิเลสออกไปจากใจ ธรรม พยายามทำขึ้นมา พยายามค้นคว้าหาขึ้นมา เพื่อชำระใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อน มีความสุขขึ้นมาจากใจดวงนั้น
เราปรารถนาความสุข ทุกคนเกิดมาแล้วปรารถนาความสุข แต่ความสุขของเรานี้โดนกิเลส โดนกิเลสพาหลอกใช้ไป กิเลสบอกว่า สิ่งนั้นเป็นความคาดหมาย สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่สมความปรารถนา...เรื่องของโลกเขา เป็นเรื่องของความสมความปรารถนา สิ่งที่สมความปรารถนาแล้วจะเป็นความสุข
ตัณหาความทะยานอยาก อยากขนาดไหนก็ไม่สมความอยากของใจดวงนั้น กิเลสนี้ไม่เคยอิ่มพอกับสิ่งใดๆ เลย จับต้องสิ่งใดขึ้นมา พยายามปรับซับซ้อนขึ้นมาในหัวใจแล้วมันก็มีตัณหาความทะยานอยากกับสิ่งต่างๆ ตลอดไป สิ่งต่างๆ พยายามจะเอาให้ได้ดั่งใจ สิ่งที่เป็นความสมใจ...ไม่มี เรื่องโลกๆ นี้พร่องอยู่เป็นนิจ ไม่มีสิ่งใดเต็ม เรื่องของโลกคือเรื่องของการบกพร่อง สิ่งที่บกพร่องเพราะเป็นอนิจจัง สิ่งใดเป็นอนิจจัง สิ่งนั้นต้องเป็นความทุกข์ เรื่องของโลกเป็นเรื่องของความทุกข์ การเกิดมาในวัฏวนนี้เป็นเรื่องของทุกข์ล้วนๆ เลย ทุกข์พาเกิดพาตาย
แต่ผู้ที่มีบุญกุศลขึ้นมา บุญพาเกิดมายังพอมีพออยู่พอกิน พอจะทำให้หัวใจมีความสุขไปได้ตามอัตภาพของใจดวงนั้น นั้นเป็นความเกิดของโลกเขา แล้วเราออกมานี่ หมุนออกมาหาธรรม หมุนออกมาหาธรรม ธรรมนี้ พลังงานความเชื่อยังเป็นพลังงานความเชื่ออยู่ ยังไม่เกิดขึ้นมาเห็นไหม มันไม่เกิดขึ้นมากับใจ มันก็เป็นพลังงานความเชื่ออยู่อย่างนั้น เราต้องสร้างสมขึ้นมาให้เป็นพลังงานของเรา ถ้าเป็นพลังงานของเรานี่ สัมมาสมาธิขึ้นมา เกิดขึ้นมาได้ สิ่งที่เป็นสัมมาสมาธิสิ่งที่ความสงบของใจขึ้นมา นั้นต้องพยายามของเรา พยายามขึ้นมาต่อสู้กับกิเลส ให้กิเลสอ่อนตัวลงให้ได้ ถ้ากิเลสอ่อนตัวลง...
ถ้ากิเลสไม่อ่อนตัวลง ความประพฤติปฏิบัติเรา เราต้องทุ่มความเพียรของเราเข้าไปเต็มที่ ความเพียรของเรามีขนาดไหนเราต้องทุ่มเพื่อประโยชน์กับเรา เพื่อประโยชน์กับความสุขนะ ถ้ามันปล่อยวาง ความปล่อยวางภาระความรุงรังของใจ นั้นจะเป็นเรื่องความสุขของใจ ใจปล่อยวางภาระความรุงรังนั้นแล้วไม่เชื่อสิ่งนั้น ถ้าเชื่อสิ่งนั้น จะจมอยู่สิ่งนั้น จะต้องทำนะ พอจิตสงบขึ้นมาแล้ว เราพยายามสงบขึ้นมาส่งให้สงบมากขึ้น พอออกมาจากความสงบนั้น บริกรรมได้ ต้องคำบริกรรมนี้ ให้บริกรรมทันทีเลย เพื่อจะให้จิตสงบบ่อยครั้งเข้า บ่อยครั้งเข้า จนเป็นสัมมาสมาธิ จิตเป็นสัมมาสมาธิ จิตตั้งมั่น จิตควรแก่การงาน ความสงบอย่างนั้นให้มันสงบขึ้นมา สงบแล้วเราจับต้องของเราได้
อานาปานสติ การกำหนดลมหายใจเข้า ลมหายใจออก ตามลมหายใจเข้า ลมหายใจออกตลอดเวลา เฝ้าดูลมหายใจจนกว่าลมหายใจจะละเอียดเข้าไป ละเอียดเข้าไป จนพลังงานอันนี้เกิดขึ้น นั้นเป็นพลังงานของธรรม เป็นพลังงานของธรรมจากใจดวงนั้น ใจดวงนั้นได้พลังงานของใจขึ้นมา มีความสุขขึ้นมา แล้วพยายามก้าวเดินต่อไปให้มีความสงบเข้าไปบ่อยครั้ง บ่อยครั้งเข้า รักษาสิ่งนั้นสติสำคัญ สติรักษาไว้ เจริญแล้วเสื่อม เจริญแล้วเสื่อมนี้เป็นธรรมดาของสิ่งที่ว่าเราไม่เคยทำ
ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติใหม่เกิดขึ้นมาแล้วจะเสื่อมไป เกิดขึ้นมาแล้วเสื่อมไป แล้วหาอยู่นานกว่าจะสงบเข้ามาอีกทีหนึ่ง จนชำนาญในวสี ชำนาญในการออก เห็นไหม เราถ้าเสื่อมไป เราปล่อยให้เสื่อมไป แล้วเราตั้งใหม่ ขณะที่มันสงบขึ้นมามันสงบขึ้นมาได้เพราะเหตุใด เราวางอารมณ์อย่างไร เราวางสติอย่างไร แล้วมันสงบตัวเข้ามานี่มันสงบตัวอย่างไร...คิดแต่เหตุไง เหตุคือมรรคอริยสัจจัง ผลที่เกิดขึ้นมานั้นเป็นผลนั้นเกิดขึ้นมาแล้ว แล้วเป็นอนิจจังทั้งหมด สิ่งนี้ยังเป็นอนิจจังทั้งหมด อยู่ในเรื่องของโลก ยังเป็นเรื่องของความคิด ความคาดความหมาย ยังเป็นเรื่องของโลกหมด มันก็ต้องหมุนไปตามโลกเขา นี้คือเรื่องของโลก
แต่เรื่องของโลกก็ต้องเรื่องของโลก ก้าวจากโลกก็จะเป็นธรรม เพราะเราเกิดมาในโลก เราเกิดมาจากกิเลส กิเลสพาเราเกิดขึ้นมานี้เป็นเรื่องของโลกทั้งหมดเลย แล้วเราไม่เดินออกจากโลกมาเป็นธรรม แล้วเราจะเดินไปจากไหน เรื่องของโลกก็เป็นเรื่องของโลก แต่มีสติแล้วมีความเพียร แล้วเราพยายามรักษาของเรา นั้นจะเป็นเรื่องจากโลกกลายเป็นธรรม จากธรรมขึ้นมา เป็นพลังงานของใจขึ้นมา ยับยั้งกิเลสได้ปล่อยให้กิเลส ยับยั้งกิเลสให้กิเลสเบาตัวลง เบาตัวลง นั้นคือความสุขเกิดขึ้น สิ่งที่เป็นความสุขนั้นเป็นสิ่งที่เราพอใจ เราพอใจ พอใจขนาดไหนนั้นน่ะอำนาจวาสนาของคน
เราสิ่งนี้เกิดขึ้นมาก็เป็นเรื่องประหลาดมหัศจรรย์แล้ว ความสงบของใจนี้เกิดขึ้นมาจะเป็นความมหัศจรรย์มาก ไม่มีในโลกนี้ โลกเรื่องของโลกเขา เรื่องของโลกเป็นเรื่องของอามิส สิ่งที่เป็นอามิส สิ่งที่แสวงหามาเป็นเหยื่อทั้งหมดเลย เป็นเหยื่อเพื่อความพอใจของกิเลส กิเลสพอใจเหยื่อขนาดไหนก็มีความสุขขนาดนั้น ถ้าเหยื่อป้อนกิเลสจนพอใจ ก็แค่นี้เป็นความสุข แล้วก็ต้องการเหยื่อมากขึ้น มากขึ้นไป เราก็ต้องวิ่งหาเหยื่อนั้นป้อนกิเลสตลอดไป นั้นเป็นเรื่องความสุขของโลก เห็นไหม โลกมีอยู่อย่างนั้น
แต่ความสุขของใจนี้มันไม่เจือด้วยอามิส มันเกิดจากคำบริกรรม เกิดจากธรรม เกิดจากธรรมโดยสุตมยปัญญาที่เราศึกษาเล่าเรียนมา แล้วเราพยายามประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ให้เป็นพลังงานของเรา สิ่งนี้เป็นธรรม ธรรมที่เราเริ่มต้นสัมผัสธรรมแล้ว แล้วธรรมต้องยกให้ละเอียดขึ้นไป ละเอียดขึ้นไป พยายามค้นคว้า พยายามออกให้ได้ ถ้าเรายกขึ้นออกได้ สิ่งที่ออกได้จะเป็นโลกุตตระแล้ว ไม่ได้ใช่เป็นโลกียะ เป็นฌานโลกีย์
สิ่งที่เป็นฌานโลกีย์นี่ทรงไว้แล้วมีพลังงานส่งออก แล้วเราเชื่อ เราชอบใจสิ่งนั้น เราติดสิ่งนั้น สิ่งนี้ติดได้เพราะกิเลสมันติดสิ่งต่างๆ มาตลอดอยู่แล้ว แล้วสิ่งที่ว่าเป็นคุณธรรมของเราขึ้นมาในหัวใจของเรา ทำไมไม่เป็นของเรา มันต้องเป็นของเรา เพราะเกิดจากเรา พอมันเกิดจากเรา มันก็ติดสิ่งนี้ได้ พอติดสิ่งนี้มันก็ส่งออก สิ่งที่ส่งออกพาไปรู้เห็นต่างๆ สิ่งที่รู้เห็นนั้นมันรู้เห็นตามความเป็นจริง เห็นจริงๆ เลย แต่สิ่งนั้นเป็นเรื่องของโลกียะ เป็นเรื่องของฌานโลกีย์ มันจะเป็นจริงไปได้อย่างไร มันเป็นอนิจจัง มันตกอยู่ในใต้กฎของอนิจจัง
สิ่งที่เป็นของอนิจจังนี่มันแปรปรวนตลอดเวลา มันไม่จริงหรอก ไม่มีสิ่งใดจริงเลย เว้นไว้แต่ธรรม ธรรมนี้เป็นความจริง ธรรมฝ่ายเหตุก็เป็นความจริง ถ้าเราเชื่อธรรมฝ่ายเหตุ เราสร้างเหตุขึ้นมา มันจะให้ผลมาเป็นความจริงของใจ แต่ถ้าเราไม่เชื่อ เราไม่เชื่อทุกอย่างว่าเป็นโลกหมด เราเป็นโลกหมด เป็นสิ่งที่ว่าเราไม่เชื่อ เราไม่พยายามของเรา มันก็ไม่ให้ผลแก่เราตามความเป็นจริง ถ้าให้ผลกับเราตามความเป็นจริง เราจะมีความละเอียดเข้ามา แล้วเราทำปฏิบัติเข้ามา เข้ามาจนถึงความสงบ สงบขึ้นมานะ นั้นเรื่องของโลกก็เป็นเรื่องของโลกอยู่ เรื่องของโลกยกขึ้นเป็นธรรม
ยกขึ้นเป็นธรรม ธรรมคือวิปัสสนาญาณเกิดขึ้น ถ้ายกขึ้นวิปัสสนาญาณเกิดขึ้น เกิดขึ้นจากตรงไหน? เกิดขึ้นจากการใคร่ครวญ จิตสงบเข้ามา สงบเข้ามา เวลามันเสื่อม มันคลายตัวออกมานี่รับรู้สิ่งใด ถ้าจับต้องสิ่งนี้ รับรู้สิ่งใดจับต้องสิ่งนั้นให้ได้ มันสะเทือนหัวใจ สิ่งใดสะเทือนหัวใจ สิ่งนั้นเป็นจุดหมายป้ายทาง จุดหมายป้ายทางที่เราจะแยกแยะได้
สิ่งนี้มันซ่อนเร้นอยู่ กิเลสอาศัยสิ่งนี้เป็นเครื่องดำเนินตลอดไป แล้วกิเลสมันก็อาศัยกินเหยื่ออย่างนี้ นี่คือเรื่องเหยื่อของเขา แล้วเราก็ไม่เคยเห็นสิ่งนี้เลย เราเคยแต่ตามเขาไป ตามเขาไป สิ่งที่ส่งออก ส่งออกอย่างนี้ไงส่งออกไป แล้วก็ใช้พลังงานหมดไป นั่นน่ะถึงว่าเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป สิ่งพลังงานส่งออกไป แล้วเราก็ต้องตั้งต้นใหม่ นี่คำว่า จิตเสื่อม จิตเสื่อม เสื่อมอย่างนี้ เสื่อมเพราะเราไม่เห็น ถ้าเราเห็นนี่ เวลามันออกมา เราพยายามสังเกตว่า อะไรรับรู้สิ่งใดก่อน รับรู้อารมณ์สิ่งใดจับตรงนั้นให้ได้ ถ้าจับตรงนั้นได้ ทำไมมันเป็นความมหัศจรรย์ สิ่งนี้มันก้าวเดินไป
สิ่งที่ว่าเป็นอารมณ์ แต่เดิมสิ่งนี้มันรวดเร็วมาก แล้วเราจับต้องไม่ได้เลย แต่พอมีธรรมขึ้นมานี่ ธรรมสามารถจับต้องสิ่งนี้ได้ จับต้องสิ่งนี้แล้วใคร่ครวญสิ่งนี้ สิ่งนี้เองที่ทำให้จิตเจริญแล้วเสื่อม เจริญแล้วเสื่อม เพราะมันเป็นเรื่องของกิเลสอาศัยสิ่งนี้ส่งออกไปข้างนอกแล้วไปรับรู้สิ่งใด สิ่งข้างนอกแล้วก็ไปตามความเห็น สิ่งที่เห็น สิ่งที่รับรู้ไปนี่ รู้เพราะเหตุนี้ รู้เพราะจิตนี้ต้องสงบขึ้นมา พอสงบขึ้นมา ยกฐานะขึ้น ยกฐานะขึ้นจากปุถุชนคนที่ว่าเป็นเรื่องของโลกเห็นไปด้วยอายตนะ แต่นี้ คราวนี้เห็นด้วยใจ ไม่ใช่เห็นด้วยอายตนะ
เราเห็นเรื่องของภายนอก เราต้องอาศัยตา อาศัยหู ถึงรับรู้ รูป รส กลิ่น เสียง ภายนอก แต่ รูป รส กลิ่น เสียง ภายในจากหัวใจ ใจนี้กระทบเองตลอดเวลา จิตสงบเข้ามาแล้วกระทบ จิตนี้ กระทบขึ้นมา จิตนี้เป็นขันธ์ ขันธ์กระทบสิ่งใด สิ่งนั้นเป็นที่ว่าเครื่องอยู่อาศัยของกิเลส กิเลสอาศัยสิ่งนี้ทำงานโดยสภาวะของมัน สิ่งที่เป็นสภาวะของมัน เราจะใคร่ครวญสิ่งนี้เข้ามา นี่ยกใจให้สูงขึ้น สูงขึ้นจากพลังงาน พลังงานธรรมดานี้เป็นพลังงานเฉยๆ พลังงานนี้จะต้องให้พลังงานนี้ทำงาน สิ่งที่เป็นสัมมาสมาธิ ถ้าพลิกขึ้นมาแล้วจะเป็นพลังงานขึ้นมา พลังงานนั้นยกขึ้นมันก็ใช้ปัญญาขึ้นไปใคร่ครวญสิ่งต่างๆ
สิ่งที่จะต้องใคร่ครวญคือขันธ์กับจิต ขันธ์กับกาย สิ่งที่ขันธ์เห็นไหม จิตกับกายนี้เกาะเกี่ยวกันไป สิ่งนี้เป็นสิ่งที่อยู่ของกิเลส กิเลสอาศัยสิ่งนี้พาเกิดพาตาย ตายมาเกิด สิ่งเกิด สิ่งสัตว์โลกนี้เกิดตายนี้น่าสลดสังเวช เห็นเห็นไหม เกิดมาเป็นเด็กไร้เดียงสา สิ่งที่ไร้เดียงสานี้เป็นน่ารักนะ สัตว์ทุกประเภทถ้าเป็นตัวเล็กตัวยังน้อยอยู่นี้ เป็นสิ่งที่น่ารักน่าชังตลอดเลย เพราะมันไร้เดียงสา มันแสดงออกโดยสัญชาตญาณของมัน แล้วพอโตขึ้นมาล่ะ มันก็เป็นความทุกข์แบบเรา แล้วจนชรา จนแก่เฒ่าไป แล้วก็ต้องตายไป ก็เวียนอยู่ในสิ่งนั้น นั้นน่ะ สิ่งนี้พาเกิดพาตายโดยธรรมชาติ
สิ่งที่พาเกิดพาตายโดยธรรมชาติแล้วเราจะส่งออกไปรับรู้สิ่งนี้เพื่อเหตุใด มันต้องดูสิว่าเหตุที่จิตยึดมั่นถือมั่น เพราะใจนี้อยู่ในร่างกายของเรา แล้วรับรู้สิ่งนี้ เราต้องย้อนกลับเข้ามา มันจะเป็นประโยชน์กับเรา สิ่งที่เป็นเรื่องของโลกนั้นอาศัยชั่วคราวทั้งหมด จะว่าไม่มี เขาก็มีของเขาอยู่ แต่มีของเขาอยู่นั้นเป็นเครื่องล่อนะ ล่อให้เราตื่นกับสิ่งนั้น ตื่นกับสิ่งต่างๆ ตลอดไป แล้วก็ตะครุบสิ่งนั้นแล้วไม่สมความปรารถนา จะไม่มีใครสมความปรารถนาเลย เพราะต่างคนต่างต้องแยกออกไปโดยธรรมชาติของเขา สิ่งนี้ต้องพลัดพรากโดยธรรมชาติเลย ไม่มีใครจะสมความปรารถนาอยู่อย่างนั้นตลอดไป เป็นไปไม่ได้ ขัดกับหลักความจริง ขัดกับสัจธรรม ขัดกับธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าโลกนี้เป็นไตรลักษณ์ทั้งหมด
สิ่งต่างๆ ในโลกนี้เป็นไตรลักษณ์ สิ่งที่เป็นไตรลักษณ์ เราไม่เคยเห็นไตรลักษณ์ แล้วเราจะไปยึดมั่นถือมั่น...เป็นไปไม่ได้เลย จะยึดให้เป็นของเรา ยึดให้เป็นของเราเพราะกิเลสมันพายึด กิเลสเข้าใจสิ่งนั้น ถึงตู่ธรรมไง ตู่ธรรมว่าธรรมนั้นเป็นเรื่องของผู้ที่ว่าไม่มีความสุข ผู้ที่ไม่เข้าใจโลก เขาเป็นผู้ที่เข้าใจโลกอยู่กับโลกเขา มีความสุขกับสถานะของโลก ผู้ที่ไม่เห็นคุณค่าของโลกจะแยกออกจากโลก
ผู้ที่จะแยกออกจากโลก ผู้ที่มีคุณค่าในการประพฤติปฏิบัติธรรม ปล่อยวางโลกนั้นอาศัยเขาอยู่ อาศัยเขาอยู่ตั้งแต่เราประพฤติปฏิบัติ ตั้งแต่เราออกบวช ปัจจัย ๔ เครื่องอยู่อาศัย อาศัยโลกอยู่ อาศัยโลกอยู่เพื่อการจะแสวงหาธรรม จะพยายามประพฤติปฏิบัติธรรมให้ธรรมเกิดขึ้นมาจากในหัวใจ ให้ธรรมพลังงานของใจเกิดขึ้นมา เกิดขึ้นมาจากของเรา
เราอาศัยโลกอยู่แค่อาศัยไป ไม่ยึดติด ไม่ยึดกับเขา ถ้าคนยึดติด มันเป็นเรื่องของโลกไป ใจมันหยาบกว่านั้น ใจมันเกาะเกี่ยวไปกับเรื่องของโลก มันก็เป็นเรื่องโลกหมดเลย ถ้ามันปล่อยวางเข้ามา มันจะหาเข้ามา หาเข้ามา สิ่งที่หาเข้ามา นี่ย้อนทวนกระแส การจะประพฤติปฏิบัติธรรมต้องทวนกระแสเข้ามา ถึงจุดศูนย์กลางของใจ จุดศูนย์กลางของใจอยู่ที่เรา จุดศูนย์กลางของความสงบ สิ่งที่สงบ ใจสงบขึ้นมาจะจับต้องสิ่งนี้ จะเห็นความสงบของเรา แล้วใคร่ครวญ ใคร่ครวญออกไป...ทำสิ่งนี้ได้ ทำได้ ทุกคนทำได้ มีอำนาจวาสนา
อำนาจวาสนาเกิดขึ้นมาจากว่าปัญญามันเกิดขึ้น สูงขึ้น ปัญญาจากภายนอก ปัญญาเทียบเคียง เทียบเคียงเข้ามาแล้วปัญญาเกิดขึ้น เห็นจากตาของใจ ตาของใจเห็นขึ้นมา แยกแยะสิ่งนี้ แล้วมันปล่อยวาง ปล่อยวาง สิ่งที่ปล่อยวาง ปล่อยวางอารมณ์ ปล่อยวางธาตุขันธ์ ปล่อยวางด้วยปัญญา สิ่งที่เป็นปัญญาใคร่ครวญกับสิ่งที่เป็นสัมมาสมาธิ จะมีความรับรู้ต่างกัน ความที่ต่างกันเพราะมันละเอียดต่างกัน ละเอียดจากหัวใจ
หัวใจที่ว่าเคยปล่อยวางภาระรุงรัง สิ่งที่ปล่อยวางภาระรุงรังนั้น ปล่อยวางชั่วคราวเพราะไม่มีสิ่งใดไปแยกแยะ ไปใคร่ครวญว่าสิ่งนี้มันติดแน่นกันมาด้วยเหตุใด กิเลสของใจดวงไหนก็เป็นกิเลสของใจดวงนั้น ข่มขี่ใจดวงนั้นมาตลอดทุกภพทุกชาติ แล้วก็อยู่ในเนื้อของใจนั้นตลอดไป ถ้าไม่มีปัญญาของธรรมเข้าไปชำระกิเลสอันนี้ กิเลสอันนี้จะไม่สะเทือนหัวใจของเรา แล้วจะไม่หลุดไปจากใจของเรา เป็นไปไม่ได้เลยที่ว่า สัมมาสมาธิจะไปชำระกิเลส กิเลสไม่เคยกลัวสัมมาสมาธิ กิเลสกลัวปัญญา ปัญญาในการใคร่ครวญนั้นมันถึงจะเป็นว่าเห็นโทษของกิเลส เห็นโทษของกิเลสเพราะเห็นตามความโง่ของกิเลสที่ไปยึดมั่นถือมั่นสิ่งที่เป็นตัวของเรา สิ่งที่ยึดมั่นถือมั่นนี้ไม่ใช่เรา สิ่งนี้เป็นสิ่งอาศัยกัน สิ่งที่ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เราแล้วเกิดขึ้นมาจากไหน? เกิดขึ้นมาจากกรรม
กรรมเกิดขึ้นมา กรรมพาเราเกิดขึ้นมาเป็นมนุษย์สมบัติ สิ่งที่เป็นมนุษย์สมบัติ สิ่งนี้พาเกิดพาตายตลอดอยู่แล้ว แล้วเราใคร่ครวญนี่ กรรมเหมือนกัน กรรมดี สิ่งที่กรรมดีคือ เชื่อธรรมแล้วพยายามประพฤติปฏิบัติ แยกแยะออกมาให้ได้ ถ้าแยกแยะได้มันก็ปล่อยวางได้ แยกแยะไม่ได้เราก็ต้องกลับมาทำความสงบของใจ ต้องกลับมาที่ความสงบของใจนั้นเพื่อสร้างพลังงานขึ้นมาให้มีกำลังขึ้นมา ถ้าไม่มีกำลังขึ้นมา มันจะต่อสู้กับสิ่งนั้นไม่ได้
เราก้าวเดินไปบนถนนหนทาง เราต้องใช้พลังงานของเราก้าวเดินไป ถ้าเรานั่ง เรามีพาหนะ พาหนะก็ต้องพาเราไป ต้องขับเคลื่อนด้วยพลังงานทั้งหมดเลย แล้วนี่พลังงานของใจมันขับเคลื่อนไปไม่ไหว ก็ต้องย้อนกลับมาสร้างพลังงานของเราขึ้นมา สิ่งที่พลังงานของเราขึ้นมา มันจะเริ่มปลดเปลื้อง ปลดกับสิ่งที่ว่าสิ่งที่เป็นภาระของใจ ปลดเปลื้องมันจะมีความเบา มีความสบาย ปล่อยวางชั่วคราว ปล่อยวางชั่วคราว แล้วกลับไปทำงานใหม่
คนเราเหนื่อยกายมาตลอดมา เราสร้างสม เราทุกข์ร้อนมาตลอดเวลา เราทำงานจนเหนื่อยแล้วจะทำอยู่ตลอดไป มันจะไม่สมความปรารถนา สิ่งที่ไม่สมความปรารถนา เพราะเราไม่มีพลังงาน ตัวพลังงานคือตัวสัมมาสมาธิ นี้ถึงสำคัญ สิ่งที่ว่าสมาธิไม่สามารถชำระกิเลสได้ แต่สมาธินี้เป็นเครื่องหมุนให้เกิดปัญญา ถ้าไม่มีสมาธินี้เป็นโลกียะ เป็นฌานโลกีย์ สิ่งที่เป็นโลกีย์มันก็ไม่สามารถชำระกิเลสได้ เพราะกิเลสอยู่ในนั้นปนกัน สิ่งที่เจือปนไปด้วย เพราะกิเลสเจือปนกับสิ่งนั้น มันก็หมุนไปตามอำนาจของกิเลส กิเลสมีอำนาจเหนือกว่า แล้วเราก็ใคร่ครวญตามอำนาจของกิเลส
ถ้าพลังงานพอขึ้นมา กิเลสสงบตัวลงชั่วคราว แล้วเราสงบลงที่ว่าแล้วเราพิจารณา พิจารณาด้วยธรรม ธรรมนี้เกิดขึ้นมาจากของเรา ธรรมเกิดขึ้นมาจากใจดวงนั้น ใจที่เราสร้างสมขึ้นมา สร้างสมธรรมขึ้นมา นี่ธรรมของใจดวงนั้น สัมมาสมาธิเป็นความสุขของใจ แล้วปัญญาเกิดขึ้นมาก็เป็นธรรม แยกออกเป็นชั้นเป็นตอน จะแยกสิ่งนี้ออกไป ออกไป พอออกเข้าใจพอปล่อยวาง จิตจะว่าง จิตจะมีความสุข จะเวิ้งว้างขนาดไหน ให้เวิ้งว้างไปแล้วทำไป ความเวิ้งว้างนี้เป็นเรื่องของใจ ใจจะได้รับสัมผัส
สิ่งที่สัมผัส ธรรมมันยังหยาบอยู่ มันก็สัมผัสส่วนที่หยาบๆ สิ่งที่หยาบๆ มันก็เข้าใจว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ว่าไม่เคยพบเคยเห็น นั่นน่ะ คนไม่เคยได้สมบัติ ได้สมบัติขึ้นมาสิ่งใดแล้วก็ว่าสมบัติของเรานี้มีจำนวนมาก...ได้มากขึ้นไปขนาดไหน สมบัติเราจะมากขึ้นไปตลอดไป สมบัติจะเกิดขึ้นมา สมบัติของโลกเขาหามาแล้วต้องมีที่เก็บที่รักษา สมบัติของใจ ความปล่อยวางขนาดไหน คือสมบัติความเข้าใจของใจจะปล่อยวางทุกๆ อย่าง สิ่งที่ว่าสิ่งที่เป็นการทำงานของใจนี่มันลากออกไป ขันธ์ทำงานออกไป เป็นอารมณ์ออกไป หมุนออกไปข้างนอก
พิจารณาสิ่งนั้นเข้ามาแล้วปล่อยวาง ปล่อยวาง สิ่งนี้ปล่อยวาง ปล่อยวางเพราะเหตุใด? ปล่อยวางเพราะธรรมทำสิ่งนั้น สัญญาจำได้ สัญญาจำได้หมายรู้ สิ่งที่จำได้หมายรู้นี้ยึด ยึดด้วยอะไร? ยึดด้วยวิญญาณรับรู้ สิ่งที่รับรู้หมุนออกไป สังขารปรุงแต่งออกไป แล้วก็สิ่งนี้หมุนออกไป เห็นโทษของมันก็ปล่อยวางเข้ามา ปล่อยวางเข้ามา ปล่อยวางเพราะการแยกแยะออก
ต้องแยกแยะ แยกแยะคืออารมณ์ก็เป็นไปไม่ได้ สิ่งที่เป็นไปไม่ได้เพราะมันมีเครื่องดำเนิน ไม่มีเครื่องดำเนินจิตก็ต้องว่างออกไป จิตนี้ไม่ทำงาน จิตนี้ทำงาน จิตก็เป็นอิสระ ปล่อยวางเข้า ปล่อยวางเข้า จนถึงที่สุดแล้ว สิ่งนี้ต้องเป็นไปโดยสัจธรรม
ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ผลของใจดวงนั้นจะเกิดขึ้นมาจากใจดวงนั้น ใจดวงนั้นจะมีคุณธรรมขึ้นมาในหัวใจ รับรู้สิ่งต่างๆ ตามเข้าใจ สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งทั้งหลายต้องดับเป็นธรรมดา เป็นธรรมดาเห็นไหม เพราะมันมีอยู่สิ่งนี้มีอยู่ เกิดดับในหัวใจ เห็นการเกิดการดับ เห็นการเกิดการดับแล้วปล่อยวางการเกิดการดับนั้น
สิ่งนั้นดับไปมันก็เก้อๆ เขินๆ กับใจดวงนั้น มันเกิดดับ แต่เราไม่รับรู้มัน เราปล่อยมันได้ ปล่อยมันเพราะเรามีธรรมในหัวใจ แต่ถ้าไม่มีธรรมในหัวใจ พอมันเกิดดับนี่ เราจะรับรู้สิ่งนั้นตลอดไป แล้วสิ่งนี้จะเกิดตามมันไป ตามไป มันไม่ขาด ถ้ามันขาดขึ้นมานี่ สมุจเฉทปหานขาด ขันธ์ไม่ใช่จิต จิตไม่ใช่ขันธ์ ขันธ์ไม่ใช่ทุกข์ ทุกข์ไม่ใช่ขันธ์ แยกออกจากกันด้วยอำนาจของธรรม อำนาจของธรรมจากใจดวงนั้น
พลังของธรรมเกิดจากใจ ใจดวงนั้นได้พลังงานของธรรมขึ้นมาส่วนหนึ่ง ส่วนนี้ก็เป็นพื้นฐานแล้วทำงานต่อไป สิ่งที่ทำงานต่อไป เพราะกิเลสมันอยู่ลึกเข้าไปในหัวใจ นั่นน่ะ ใช้พลังงานนี้ย้อนกลับเข้าไปตลอด ทำความสงบของใจขึ้นไปๆ เพื่อจะเข้าไปใคร่ครวญ เรื่องของความละเอียดของใจ สิ่งที่เป็นความละเอียดของใจ ใจนี้ละเอียดขึ้นไป ละเอียดขึ้นไป สิ่งที่ละเอียดขึ้นไป กิเลสมันก็ละเอียดตามขึ้นกับใจดวงนั้น กิเลสมันจะละเอียดขึ้นไป ถ้าเราจับต้องสิ่งนี้ได้มันจะย้อนกลับเข้ามาจับ ย้อนกลับเข้ามา
แล้วสิ่งที่เราเคยทำแล้ว มันจะเป็นสิ่งที่เราเคยทำ มันเป็นผู้ที่ทำงานเป็น ผู้ที่ทำงานเป็นเรื่องงานนี้จะง่ายขึ้นมา ย้อนกลับเข้าไปในหัวใจนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นจากเรา คือการเกิดดับอันละเอียดของใจ สิ่งที่เกิดดับอันละเอียดนี้ ทำให้ใจนี้เป็นทุกข์อันละเอียดในหัวใจ สิ่งที่เป็นทุกข์อันละเอียด มันก็เสียดแทงใจเห็นไหม
ใจเรารู้ว่าปล่อยวางแล้ว มันปล่อยวางมา แต่ปล่อยวางขึ้นมาแล้วความทุกข์อันละเอียดนั้นมันก็เสียดแทงอยู่อย่างนั้น เสียดแทงตลอดไปถ้าเราไม่สามารถปลดเปลื้องกิเลสออกจากใจได้ทั้งหมด ถ้าเราปลดเปลื้องกิเลสออกจากใจได้ทั้งหมด ถึงจะเป็นอิสรภาพ ถึงจะเป็นเสรีภาพ ใจนี้จะเป็นอิสระหมดออกไป เพราะกิเลสโดนธรรมะนี้ขับไล่ออกไปจากใจ ใจจะเจริญงอกงามขึ้นมา เจริญสูงขึ้นไป แต่ในเมื่อยังมีกิเลสอยู่นี้ กิเลสจะปลิ้นปล้อนตลอดไป
เราประพฤติปฏิบัติธรรม เราว่าเราทำประพฤติปฏิบัตินี้มันเป็นธรรมๆ ไง ถ้าเป็นธรรมทำไมไม่สมควรแก่ธรรม ถ้าเป็นธรรมทำไมหลง ครูบาอาจารย์ทำไมหลง ผู้ประพฤติปฏิบัติไปถึงทำไมหลงทางไป หลงทางไปเพราะกิเลส นั่นน่ะกิเลสสร้างสถานะ สร้างความเห็นต่างๆ ให้เป็นการว่าเราประพฤติปฏิบัติ สิ่งที่ประพฤติปฏิบัติอยู่นี้ เราทำของเรา
นั่งสมาธิภาวนานี้เป็นธรรมไหม? เป็น เป็นธรรมฝ่ายเหตุ แต่กิเลสมันอยู่ในนั้น มันก็สร้างสมสถานการณ์ของมันตลอดไป...เหตุกับผล ถ้าสมควรแล้วเป็นธรรม เหตุไม่สมควรกับผล เราสร้างเหตุขนาดไหน อัตตกิลมถานุโยค...เราทำความเพียรไป แต่ความเพียรนั้นเป็นความเราคาดหมายไปตามประสาของเรา เรามีความจงใจ มันไม่เป็นนะ ถ้าเราปล่อยตามสะดวกสบายมันก็เป็นกามสุขัลลิกานุโยคเหมือนกัน มันก็เป็นความสุข ติดสุข
มันต้องย้อนไปย้อนมาไม่ให้กิเลสตามทันไง ถ้าเราทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งโดยคงที่ว่าเราไม่มีอุบายวิธีการเปลี่ยนแปลงไป กิเลสมันจะรู้ตัวตลอดไป กิเลสนี้เขารู้อยู่แล้วว่าเขาพยายามจะให้เราผิดพลาดไง กิเลสเป็นข้าศึกกับธรรม เราพยายามประพฤติปฏิบัติธรรมเพื่อให้ธรรมเจริญงอกงามขึ้นมาในหัวใจ สิ่งที่เจริญงอกงามขึ้นมานี้มันเป็นธรรมส่วนหนึ่งที่เราเจริญงอกงามขึ้นมา แต่กิเลสที่อันละเอียดกว่านั้นเขาฉลาดกว่า สิ่งที่เขาฉลาดกว่า กิเลสนี้มันถึงฉลาด
เราฉลาดขนาดไหน เราศึกษาธรรมมาขนาดไหน เราว่าเราฉลาด กิเลสมันอยู่หลังความคิดเรา ความฉลาดอันนั้นน่ะกิเลสเอาใช้ ใช้เพื่อจะหาความสะดวกสบาย ใช้เพื่อจะหาช่องทางที่เราจะประพฤติปฏิบัติให้สมควรกับความเห็น ให้สมควรกับธรรม ถ้าสมควรกับธรรม ธรรมนั้นก็จะเกิดขึ้น ถ้าไม่สมควรกับธรรม นั่นน่ะ ในวสี ในความชำนาญ ความชำนาญของเรา เราชำนาญขนาดไหน ทำแล้วแต่จริตนิสัย จริตของคนจะเดินมากก็ต้องเดินมาก จริตของคนนั่งมากก็ต้องนั่งมาก การเดินและการนั่ง อิริยาบถ ๔ การเดิน ยืน นั่ง นอน แต่นอนนี้ทำแล้ว กิเลสมันจะเอาไปกินได้ง่ายกว่า เพราะนอนแล้วมันสบาย
ยืน เดิน นั่ง ถนัดสิ่งใดเอาสิ่งนั้น นั้นเป็นจริตนิสัย จริตนิสัยเราทำ เราทำตามจริตนิสัยของเรา ถ้าจริตเราทำตามจริตนิสัยของเราแล้วถูกต้อง นั่นน่ะมัชฌิมาปฏิปทาเกิดจากตรงนี้ เกิดจากความพอดีแล้วมาลงตัว สิ่งที่ลงตัว ความสงบของใจเกิดขึ้น ถ้าความสงบของใจเกิดขึ้นมา สงบขึ้นมา นั้นเป็นสัมมาสมาธิ มรรคอริยสัจจังต้องอาศัยสัมมาสมาธิเกิดขึ้นมา แล้วยกขึ้นๆ ตลอดไป ถ้าไม่ยกขึ้นมามันก็อยู่ในสัมมาสมาธิ สัมมาสมาธิ น้ำเต็มแก้วอยู่อย่างนั้น ถ้าสัมมาสมาธิยกขึ้นออกวิปัสสนา มันก็จะเป็นงานขึ้นมา เป็นงานขึ้นมาทุกชั้นทุกตอนไป ความละเอียดของใจต้องยกขึ้น สิ่งที่ยกขึ้นมานี้มันกระทบกระเทือนตลอดนะ
มันมีเป้าหมาย เป้าหมายคือว่าสิ่งที่จับต้องได้ ตรงไหนจับต้องได้ ตรงนั้นคือที่อยู่ของกิเลส มันจับต้องใจของมันได้ จับต้องอาการของขันธ์ได้ ขันธ์อันละเอียดมีอยู่ ต้องจับต้องได้ จับความรู้สึกได้ แต่ความรู้สึก ถ้ารู้สึกส่งออก เวลาสัมมาสมาธิ สัมมาสมาธิเกิดขึ้นมา มันรับรู้ว่าว่างหมดแล้วออกไปข้างนอก นั่นน่ะมันจะไม่ย้อนกลับไง เราต้องพยายามเปรียบเทียบถึงว่าเราหาสิ่ง ปัญญาใคร่ครวญย้อนกลับขึ้นมา จิตส่งออกไปนี้รับรู้สิ่งภายนอก สิ่งภายนอกนี้เป็นเรื่องโลก
ถ้าสิ่งเป็นเรื่องธรรม เรื่องธรรม คือขันธ์ ๕ ธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ นี้เป็นเรื่องธรรม ถ้าเรื่องธรรม เพราะจิตติดตรงนี้ จับต้องตรงนี้ได้ เห็นการงานการกระทำงานของจิต จิตทำงานเพราะเราจับต้องสิ่งนี้ได้ ถ้าจิตทำงานอย่างนี้แล้ว จิตทำงานเมื่อไหร่กิเลสมันก็ทำงานพร้อม ถ้าจิตมันปล่อย ปล่อยว่างออกมา ปล่อยวางสิ่งนี้ มันก็ต้องปล่อยวาง
ปล่อยวางโดยธรรม ถ้ามีธรรมจะปล่อยวางสิ่งนี้ ถ้าไม่มีธรรมมันจะไม่ปล่อยวาง มันจะใช้งานจนหมด หมดความหมดพลังงานของเขาแล้วก็ว่าง ว่างเพราะว่าเขาว่างเพราะหมดงานของเขา เขากินจนหมดแล้วไง เขากินอาหารจนหมดแล้ว แล้วเขาก็อิ่มของเขา นั้นคือกิเลสอิ่มท้อง แต่ในหัวใจของเรา ธรรมของเราไม่เจริญขึ้นมา กิเลสอิ่มท้องแล้วก็พอใจ มีความสุขของเขา เราแห้งผากไง ธรรมแห้งผาก มันก็ปฏิบัติแล้วไม่ได้ผล ถ้าธรรมมันเจริญขึ้นมาต้องจับต้องย้อนกลับเข้ามา นี่ไม่ให้กิเลสมันอิ่มท้องขึ้นมา
ดูใคร่ครวญระหว่างที่มันทำงานจับต้อง เห็นที่ว่ามันเคลื่อนออกไป...ที่เคลื่อนออกไปนั้นคือกิเลสกำลังกินเหยื่ออยู่นั้น จับต้องสิ่งนี้ได้แล้วแยกนี้เข้ามา นั่นคือขันธ์ สิ่งที่เห็นขันธ์จากภายใน ขันธ์กับธาตุ เห็นธาตุก็เห็นกาย ถ้าจับต้องเห็นกายมันก็เห็นเป็นธาตุ ๔ เป็นดิน เป็นน้ำ เป็นลม เป็นไฟ สิ่งที่เป็นดิน เป็นน้ำ เป็นลม เป็นไฟนี้ต้องมีสัมมาสมาธิเกิดขึ้น สัมมาสมาธิแยกออกไป ถ้าพลังงานพอ มันเป็นความลึกลับมหัศจรรย์มาก
ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติเห็นกายแปรสภาพนี้ มันจะเห็นแล้วมีความตื่นเต้น ตื่นเต้นกับความเป็นไปของธรรม สภาวธรรมมันแปลกประหลาดมหัศจรรย์ขนาดนี้เชียวหรือ สิ่งที่เกิดขึ้นมาจากในหัวใจของเรามันทำไมมหัศจรรย์ขนาดนี้ เห็นความมหัศจรรย์แล้วมันก็เลยเห็นโทษของมันไง เห็นโทษว่าสิ่งนี้มันแปรสภาพ มันต้องปล่อยวางสิ่งนี้ ใจมันจะปล่อยวาง ปล่อยวางเข้ามา มหัศจรรย์ด้วย มีความสุขด้วย แล้วปล่อยวางพร้อมไปกับการชำระกิเลสไปพร้อมกันๆ กิเลสจะอ่อนตัวลง อ่อนตัวลง ธรรมเจริญขึ้น
สิ่งที่เจริญขึ้น การประพฤติปฏิบัติก็ง่ายขึ้น เราพยายามง่ายขึ้นก็ต้องดำเนินต่อไป ดำเนินในความเห็นของเรา เราดำเนินในการประพฤติปฏิบัติ ดำเนินต่อไปจนถึงที่สุด ต้องถึงที่สุด มันจะขาดออกไปจากใจ ขาดออกไปจากใจ กายกับขันธ์จะแยกออกจากกัน ใจนี้จะเวิ้งว้างหมด มันจะแยกออกจากกันโดยธรรมชาติเลย นี้คือสิ่งที่กามราคะ ปฏิฆะอ่อนตัวลง สิ่งที่อ่อนตัวลง...เป็นเราอ่อนตัวลงมันก็มีความสุข มีความสุขก็ติดตรงนี้ ถ้าติดมันก็จะติด ถ้าเราไม่ละเอียดรอบคอบมันจะติด ถ้าเราละเอียดรอบคอบมันจะย้อนกลับเข้ามาต่อไป
สิ่งที่ย้อนกลับเข้ามา ยกขึ้นให้ได้ ยกขึ้นวิปัสสนา วิปัสสนาในอสุภะ อสุภัง ถ้าจับต้องอสุภะ อสุภังได้ นี่พลังงานของธรรมจะละเอียดขึ้นไปเป็นชั้นเป็นตอน พลังงานที่เรายกขึ้นมาเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นมา เราฆ่ากิเลสมาเป็นชั้นเป็นตอน มันถึงจะยกขึ้นมาได้ ถ้าเราไม่ฆ่ากิเลสเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นมา มันเป็นพลังงานของกิเลส
เราประพฤติปฏิบัติ ประพฤติปฏิบัติทั้งชีวิตนะ ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติทั้งชีวิตเลย พยายามประพฤติปฏิบัติอยู่ ยากทุกข์ยากขนาดไหนก็ทนเอา นั่นน่ะมันก็ไม่ได้ผล ถ้ามันไม่ได้ผล แต่ถ้ามันได้ผล เราสร้างสมบุญมา เราประพฤติปฏิบัติมาสมควรแก่ธรรม มันจะได้ผลขึ้นมา ผลคือการที่มันแยกออกมาแล้วมันมีความสุข แล้วก็ให้ติด นี่มันติดได้ ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติติดได้
แต่ถ้าความละเอียดรอบคอบขึ้นมา มันจะติดขึ้นมา มันติดเป็นความว่างขนาดไหน มันจะมีความรู้สึกของใจ ใจนี้กระทบได้ ละเอียดขนาดไหนก็กระทบได้ สิ่งที่กระทบได้เพราะมันย้อนกลับ ถ้ามันทวนกระแสขึ้นมาจะเห็นความกระทบของใจ สิ่งที่เห็นความกระทบของใจเหมือนกับจะไม่มีอะไรเลย จะว่างหมด เพราะมันปล่อยวาง ปล่อยวางเรื่องความหยาบๆ มา เพราะพลังงานของธรรมสูงขึ้นมาแล้ว สูงขึ้นมาแล้ว เรื่องของหยาบนี่จะทิ้งหมดเลย แต่มันละเอียดอยู่ในหัวใจนั้น
สิ่งที่ละเอียดอยู่ในนั้น มันก็เผาหัวใจนั้น เผาโดยที่เราไม่รู้สึกตัว ถ้าจับต้องได้ถึงจะรู้สึกตัว ถ้ารู้สึกตัวแล้วถึงจะเห็นการต่อสู้ระหว่างธรรมกับกิเลส จะต่อสู้กันในภายในหัวใจนี้ ต่อสู้กันอย่างรุนแรงมาก
สิ่งที่เป็นความรุนแรง เมื่อก่อนที่เราหลงอยู่ มันปล่อยวาง มีความสุขในการปล่อย มีความสุขในชั้นหนึ่ง สุขอันนี้มันเป็น อกุปปธรรมขึ้นมาจากที่ว่าเราปล่อยวางขึ้นมาเป็นชั้นเป็นตอน มันเป็นอกุปปธรรม รองรับสถานะของใจอยู่ ใจได้รับสถานะนี้รองรับไว้ให้มีความสุขในหัวใจ แต่กิเลสอย่างละเอียดนั้นมันหลบซ่อนตัวอยู่ เราจะไม่เห็นสิ่งนั้นเลย พอเราเห็นสิ่งนั้นแล้ว สิ่งนี้จะเป็นการต่อสู้ การต่อสู้ของใจ นี้เป็นการต่อสู้ เวทีของใจ นี่แก้กิเลสแก้กันที่นี่ แก้กันที่ใจ
ถ้าใจนี้ออกมาเห็นกายก็เป็นสภาวะของกาย ถ้าออกมาเห็นขันธ์ก็เป็นสภาวะของขันธ์ ขันธ์อันละเอียดๆ สุดอยู่ตรงนี้ สิ่งที่ละเอียดสุดนี่ กามราคะ ปฏิฆะเกิดขึ้นมาจากความใคร่ ความขัดเคืองใจ สิ่งที่ขัดเคืองใจมันว่างหมดนะถ้ามันว่าง ถ้ามันรักษาได้ แต่เวลากิเลสมันแสดงตัวขึ้นมานี่ มันขัดเคืองใจ ขัดเคืองใจว่าเราไม่พอใจสิ่งต่างๆ สิ่งที่เราเกิดขึ้นมา เราอาศัยสิ่งที่โลกอยู่ มันสะเทือนถึงหัวใจ มันสะเทือนถึงหัวใจ เราจะรับรู้สิ่งนั้นเลย ถ้ามันกระทบขึ้นมา มันเกิดอาการของใจที่มันรับรู้ มันไม่พอใจ มันขัดเคืองใจ นั้นน่ะ จับต้องสิ่งนั้น ถ้าจับต้องสิ่งนี้ นี่คือขันธ์อันละเอียด สิ่งที่ขันธ์ละเอียด นั่นน่ะ โลภ โกรธ หลง เกิดจากตรงนี้ทั้งหมดเลย ความผูกมานะ ความเห็นต่างๆ ที่ผิดแผกไปจากทำนองคลองธรรม
สิ่งต่างๆ ของโลกมันเป็นอนิจจังทั้งหมด มันต้องเป็นไปสภาวะแบบนั้น สภาวะของกรรม สภาวะของสัตว์โลก สัตว์โลกเกิดมาตามกรรม กรรมของแต่ละบุคคลไม่เหมือนกัน ทุกข์ยากเป็นครั้งเป็นคราว แล้วแต่เวลากรรมมันให้ผล เดี๋ยวก็มีความสุข เดี๋ยวก็มีความทุกข์ตามสภาวะแบบนั้น แล้วก็ต้องพลัดพรากจากไปทุกๆ สัตว์ ทุกสัตว์ทุกบุคคลต้องพลัดพรากจากไป เขาเป็นของเขาอย่างนั้น แต่สภาวธรรมในหัวใจของเราไปรับรู้สิ่งนั้น แล้วไปแบกหามสิ่งนั้น แบกหามสิ่งนั้นก็เกิดอารมณ์สิ่งนั้น นั้นพิจารณาจากความหยาบเข้ามาให้เห็นภาพจากภายในหัวใจ
ถ้าเห็นภาพภายในหัวใจ จับเรื่องความผูกโกรธ จับเรื่องความขัดเคืองใจของใจ เห็นสิ่งนี้ นี่ปัญญามันจะเริ่มใคร่ครวญสิ่งนี้แล้วมันจะปล่อยวาง ว่างของมัน ถ้ามันปล่อยวาง มันจะว่าง ว่างตลอดนะ ถ้าปล่อยวางเมื่อไหร่มันก็จะว่าง แต่ว่างแล้วเดี๋ยวมันก็เกิดอีก สิ่งนี้เกิดตายเกิดตายในหัวใจ มันเกิดดับตลอดไป สิ่งที่มันเกิดดับเพราะมันเป็นแก่นของกิเลส สิ่งที่เป็นแก่นของกิเลสมันเหนี่ยวแน่นในหัวใจมาก
ธรรมเรายังสู้ไม่ได้ เราก็ต้องสะสมขึ้นไป วิปัสสนาจะเกิดจากตรงนี้ แล้วเวียนออก เวียนออก ปัญญาจะหมุนออกไปแล้วจะเป็นปัญญาที่รุนแรง รุนแรงเพราะการต่อสู้มันจะรุนแรง สิ่งที่ต่อสู้ขึ้นมา ขันธ์ละเอียด กามราคะเหมือนแม่ทัพ สิ่งที่เป็นแม่ทัพถูกออกรบแล้ว รบกับข้าศึก แม่ทัพนี้จะต้องมีความสำคัญมาก ถ้าเราจะทำลายแม่ทัพนี้ เราต้องพยายามทำลายไพร่พลของเขา เพื่อจะเข้าไปหาแม่ทัพ นี้เราก็ทำลายไพร่พลของกิเลสขึ้นมาชั้นเป็นตอน
ลูกหลานของกิเลสเราชำระขึ้นมา จากความเห็นกายไม่ใช่เรา เราไม่ใช่กาย แยกออกจากกัน เห็นธาตุกลับไปสภาวะเดิมของเขานี้แยกออกจากกัน นั้นเป็นไพร่พลของแม่ทัพ แล้วเรายกขึ้นมาแล้วจนถึงแม่ทัพ แม่ทัพนี้มีอำนาจเหนือ มีความชำนาญในการรบมากกว่าไพร่พลของเขา นั่นน่ะ เล่ห์เหลี่ยมของแม่ทัพมันต้องละเอียดกว่า กิเลสมันจะหลอกเราได้อย่างละเอียดมาก เราจะต้องเดินตามต้อยๆ กิเลสไปโดยที่เราไม่รู้สึกตัวเลย เราจะไม่รู้สึกตัวว่าเราโดนกิเลสหลอก นี่ประพฤติปฏิบัติมันจะมีสิ่งนี้เป็นการต่อสู้กันในหัวใจ เราจะไม่รู้เลยจนกว่า มันจะเสื่อม
ถ้าใจเสื่อมเมื่อไหร่ จิตเสื่อมเมื่อไหร่ เราถึงว่ามันร้อนขึ้นมาถึงว่า นี้เสื่อมแล้ว สิ่งที่เสื่อมแล้วเพราะเราต่อสู้ขึ้นมา เราใช้พลังงานตลอดไป จนเราใช้พลังงานจนหมดสิ้น แล้วมันก็ร้อนออกมา ร้อนในการต่อสู้นั้นๆ สิ่งที่ต่อสู้ กิเลสมันก็เผาลนใจนั้น นี่ดึงกลับมาทำความสงบของใจแล้วมันจะสงบไม่ได้ เพราะมันเห็นคุณค่าของปัญญาไง ถ้าปัญญาใคร่ครวญก้าวเดินออกไปนี้เป็นการชำระกิเลส สิ่งที่เป็นการชำระกิเลสนี้คือปัญญา เราก็ใช้ปัญญาอยู่ นี้คือการปฏิบัติธรรมของเรา
สิ่งที่ปฏิบัติธรรมของเรา เราอยากได้ผลไว เราอยากได้ผลโดยที่ว่าเราคาดหมาย สิ่งที่เราคาดหมาย เราคาดหมายมาจากเบื้องล่าง จากการประพฤติปฏิบัติจากเบื้องล่าง เราเห็นผลมาอย่างนั้น พอยกขึ้นมาเราก็คาดหมายอย่างนั้น นี่กิเลสมันละเอียดอ่อนกว่า มันถึงใช้สิ่งนี้ กิเลสมันอยู่ในหัวใจของเรา สิ่งที่ฆ่ากิเลสมาเป็นชั้นเป็นตอน กิเลสมันก็รู้ตัวไปพร้อมกัน นี้มันถึงสร้างเหตุการณ์ สร้างสถานะ สิ่งที่เป็นสถานะซ้อนไป ซ้อนไป ซ้อนเข้ามาให้เราหลงไป สิ่งที่เราหลงไป เราก็จะหลงของเราไปตลอด นี่หลงไปอย่างนั้น ไม่สมกับความเป็นจริง
ถ้ามันจะสมกับความเป็นจริง เราต้องดึงกลับมาความสงบ เพราะเรารู้ของเราเอง กิเลสเกิดจากใจของเรา ทุกข์ยากเราก็ทุกข์ยากจากใจของเรา เวลาเสื่อมเราก็เสื่อมจากใจของเรา เวลาร้อนร้อนที่ใจของเรานะ เวลาร่มเย็นขึ้นมา เราประพฤติปฏิบัติไปร่มเย็น มันจะมีความสุขของเราในหัวใจ ความร่มเย็นนั้นก็อยู่ชั่วคราว เวลามันร้อนขึ้นมาก็ใจของเรานี่เป็นผู้ร้อน
สิ่งที่เป็นความร้อนของใจนั้นมันเป็นความผิดพลาดแล้ว ความผิดพลาดจากการประพฤติปฏิบัติ สิ่งที่ประพฤติปฏิบัติมันเกิดความผิดพลาดเพราะกิเลสมันขับไส นั่นน่ะกิเลสไม่เคยกลัว กิเลสไม่เคยยอมแพ้ใครได้ง่ายๆ ธรรมจะเกิดขึ้นมาขนาดไหนก็ต้องต่อสู้กันตลอดไป กิเลสจะต่อสู้กับธรรม
สิ่งที่เป็นกิเลส นี่อำนาจของกิเลส พลังงานของกิเลสอยู่ที่ใจ แล้วเรากำลังจะชำระกิเลสในหัวใจของเรา เราถึงต้องเริ่มต้นใหม่ เริ่มต้นพยายามสร้างสมขึ้นมา ถ้าสัมมาสมาธิเกิดขึ้น เกิดขึ้นมาแล้วมันก็ทำให้เรามีกำลังขึ้นมา สิ่งที่มีกำลังขึ้นมา นั่นน่ะจะต่อสู้ได้ใหม่ เหมือนกับเราเสื่อม เหมือนกับเรามีเงินมีทองอยู่ แล้วเงินทองนั้นหายไป แล้วเราต้องไปสร้างสมสะสมเงินทองขึ้นมาใหม่ มีเงินมีทองขึ้นมาแล้วเราถึงจะทำธุรกิจของเรารอบใหม่ต่อไป
นี้ก็เหมือนกัน มันเกิดดับ เกิดดับในหัวใจของเรา แต่มันไวมาก นี่เวลาผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ มันมีประพฤติปฏิบัติเพราะมันมีงาน มีงานอย่างนี้ไง เราถึงทำได้ตลอดไป คนที่ไม่มีงาน คนที่จับต้องไม่ได้ เวลาทำไม่มีงาน นึกว่านั่งสมาธิทั้งวันทั้งคืน นั่งได้อย่างไร เดินจงกรมตลอดไปเป็นปีเป็นเดือน เดินได้อย่างไร
เพราะว่าเราไม่มีงานทำ เราก็เบื่อหน่าย แต่ผู้ที่ใช้ปัญญาอยู่นี้ เป็นงานตลอด เป็นการต่อสู้กันอย่างซึ่งๆ หน้า เป็นการต่อสู้กันอย่างรุนแรง ความรุนแรงนั้นเป็นงาน มันจะแพ้มันจะชนะกันในหัวใจของเรา ถ้าพลังงานของเราเพิ่มขึ้นมา ปัญญาเราใคร่ครวญขึ้นไป เราก็จะเป็นฝ่ายชนะบ้าง แพ้บ้างอยู่อย่างนี้ตลอดไป นั้นเพราะเป็นแก่นของกิเลส
สิ่งที่เป็นแก่นของกิเลส อำนาจของเขามีอำนาจเหนือดวงจิตมาตลอด สิ่งที่ดวงจิตพาเกิดพาตายนี้ มันเกิดตายมาเพราะอำนาจสิ่งนี้ แล้วจะชำระเขา จะพ้นจากกิเลสนี้ มันเป็นเรื่องที่ว่าเรื่องง่ายๆ เหรอ มันเป็นเรื่องเหมือนกับว่าเราจะไม่มีกำลังพอเลย แต่พยายามทำเข้าไปทำเข้าไปๆ เราพยายามของเราเห็นไหม นี่ความเพียรชอบ
สิ่งที่เป็นความเพียร เพราะเป็นความเพียรเผาลนกิเลส กิเลสโดนเผาลนแล้ว กิเลสต้องหาที่หลบซ่อนตลอดไป หาที่หลบซ่อนนั้นเป็นกลอุบายของเขา กลอุบายของกิเลสจะหลบซ่อนตัวอยู่ในดวงจิตของเราตลอดไป ถ้ามันหลบซ่อนในดวงจิตนั้น มันจะเป็นการเป็นเล่ห์เหลี่ยมของเขาส่วนหนึ่ง
แต่ในธรรมแล้ว เราก็ต้องขุดคุ้ยหาเขาตลอดไป หาเขาขึ้นมา หากิเลสขึ้นมาเพื่อจะตรวจสอบกัน ชำระกิเลสกัน ถ้าชำระกิเลสได้ นั่นน่ะ กิเลสโดนอำนาจของธรรมได้ชำระออกไป มันก็จะปล่อยวางๆ สิ่งที่ปล่อยวางนี้คือกิเลสแพ้ธรรม จะปล่อยวางอย่างนั้นไป แล้วเราประมาทไม่ได้ เราก็ต้องชำระตลอดไป ขุดค้นตลอด ถ้าขุดค้นนี้เป็นปัญญา ในระดับของปัญญา ปัญญาอย่างหยาบๆ เห็นไหม สภาวธรรมอย่างหยาบๆ มันก็เป็นปัญญาอย่างหยาบๆ สภาวธรรมอย่างละเอียดมันก็จะเป็นปัญญาอย่างละเอียด สภาวธรรมแบบจะชำระกามราคะ มันก็เป็นสภาวธรรมที่สูงขึ้นมา
สิ่งที่สูงขึ้นมานี่มันลึกลับมหัศจรรย์มากนะ มันมหัศจรรย์กับผู้ที่ประพฤติปฏิบัตินั้น มหัศจรรย์จากหัวใจ ว่าปัญญาอย่างนี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร นี่ภาวนามยปัญญาเกิดขึ้นมา มันเกิดขึ้นมาแล้วมันทัน ทันความคิดเราไง ทันความคิดอันเริ่มต้นออกมาจากใจ สิ่งที่เป็นความคิด มันความคิดเป็นขันธ์ออกมา มันเป็นอารมณ์ออกไป นี่มันออกไปได้อย่างไร แล้วมันจับต้องได้อย่างไร มันใคร่ครวญกันอยู่จากภายใน ต่อสู้กันอยู่แต่ภายใน สู้กันนะ สู้กันจนเป็นงานของเรา
งานจากใช้ปัญญาเหนื่อยมาก งานของโลกเขาแบกหามขนาดไหนมันก็ยังพักผ่อนได้ แต่งานของการชำระกิเลสนี้เหนื่อยขนาดไหนมันก็ข่มขี่เราตลอดไป เหนื่อยมากขนาดไหน เราก็ต้องพัก พักขึ้นมาเพื่อจะต่อสู้ใหม่ สิ่งที่ต่อสู้ใหม่เป็นครั้งเป็นคราว เป็นครั้งเป็นคราวจนต่อสู้ชนะ ไม่เป็นครั้งเป็นคราว ธรรมได้ขี่กิเลสแล้ว จะเป็นเรื่องขับไสกิเลสไป
นั่นน่ะ ชำระเข้าไปตลอดไปๆ จนถึงที่สุดกิเลสก็ขาดออกไปจากใจ ขาดออกไปจากใจนะ ขันธ์กับจิตไม่ใช่อันเดียวกัน จะเห็นตามสภาวะตามความเป็นจริงเลยว่าความคิดนี้ อ๋อ! เกิดจากพลังงานตัวนี้ พลังงานคือตัวของจิต จิตนี้เป็นพลังงานเฉยๆ เป็นพลังงานเฉยๆ ไม่ใช่ตัวขันธ์ ตัวขันธ์นี้เป็นตัวอารมณ์ เป็นความรู้สึก แล้วมันปล่อยวางพ้นออกไปจากตัวขันธ์ เห็นสภาวะตามความเป็นจริง
แต่ว่าขันธ์ ๕ นี้เป็นสัญญาความจำได้หมายรู้ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นี้มันเป็นกอง เป็นกองรับรู้ไปแล้วมันย่อยสลายลงไปถึงจิตดวงนี้ จิตดวงนี้เป็นถึงจิตปฏิสนธิไง สิ่งที่เป็นจิตปฏิสนธินี้มันเป็นตัวจิตเฉยๆ เป็นพลังงานเฉยๆ มันจะปล่อยวาง มันจะเวิ้งว้าง มันจะว่างไปหมดเลย นั้นคือความเห็นของใจ
ใจเห็นถูกต้องจะเห็นตามความเป็นจริงว่า สิ่งนี้เป็นความถูกต้อง แล้วต้องฝึกซ้อมสิ่งนี้ขึ้นไป เพราะให้มันละเอียดอ่อนเข้าไป ให้มันคายออกทั้งหมด สิ่งที่คายออกทั้งหมด คนพิจารณาซ้อนเข้าไปแล้วมันจะคายออก มันจะเวิ้งว้าง มันจะปล่อยวางของมันเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป ถ้าปล่อยวางเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป ถ้าเข้าใจว่าสิ่งนี้เป็นมรรคต่อไป นี่ติดตรงนี้ ตรงนี้ติดกันมากเลย
ติดเพราะเข้าใจว่า เราเป็นมรรค ๔ ผล ๔ แล้ว เราซ้อมใจของเรา ปล่อยขันธ์เข้ามาแล้ว แล้วเราปล่อยเศษส่วนของใจ เศษส่วนของความผูกพันของใจ เศษส่วนที่มันมีเหลือเศษอยู่ ปล่อยวางเศษนั้น คายเศษนั้นออกหมด มันละเอียดอ่อนเข้าไปมากๆ มากขนาดไหนมันก็เป็นความเวิ้งว้างของใจ ใจจะเวิ้งว้างอยู่อย่างนั้น ปล่อยว่างไปหมดเลย แล้วก็ติดอยู่ตรงนั้น เข้าใจว่าตรงนี้เป็นผล เพราะเราได้ชำระเศษส่วนอันนี้เข้ามาแล้ว นั่นน่ะ มันจะเห็นตามความเห็นเป็นสภาวะแบบนั้น
สภาวะของใจเข้าใจว่าสิ้น ก็อยู่สภาวะแบบนั้น สภาวะแบบนั้นก็ต้องทรงไว้ สิ่งที่เป็นความว่างนี้ต้องรักษา ถ้าไม่รักษามันก็จะเป็นความเฉา สิ่งที่เป็นความเฉา เป็นความขัดเคืองใจ ทุกข์อันละเอียด ทุกข์อันละเอียดยิบเลย อันละเอียดอยู่ที่หัวใจ สิ่งที่อยู่ที่หัวใจนี้เป็นทุกข์อยู่ในหัวใจ แล้วเราไม่รู้ว่าอันนี้เป็นทุกข์ เราเข้าใจว่าเป็นความว่าง เป็นสิ่งที่ว่ามันเป็นธรรมชาติ สิ่งที่ว่ามันมีอยู่ แก้ไขไม่ได้ นั้นเพราะความหลงของ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา
อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา ไม่รู้ตัวมันเอง มันปล่อยวางสิ่งต่างๆ เข้ามาหมดแล้ว เข้าใจว่าปล่อยวางธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ เข้ามาหมดเลย จนกว่าอันนี้ว่าเป็นผล ติดอยู่สิ่งนั้นแล้วก็ใคร่ครวญรักษาไว้ สิ่งที่รักษาไว้ต้องทรงไว้
การรักษาใจพร้อมกับกิเลส เหมือนกับเรารักษาตัวเราเองให้พ้นจากโรค เรากินยา เห็นไหม ยาบางอย่างเรากินเข้าไปนี่ขม แต่ขมด้วย เผ็ดร้อนด้วย เพื่อจะให้รักษาโรคให้หาย นี้ก็เหมือนกัน กิเลสมันอยู่ในหัวใจ เราพยายามรักษาความว่างขนาดไหน เท่ากับรักษาเชื้อโรคนั้นไว้ด้วย กิเลสมันไม่รู้จักตัวมันเอง มันไม่เข้าใจตัวมันเอง จนกว่าความเฉานั้น การรักษาใจไว้นั้นมันเป็นงานอย่างหนึ่ง
สิ่งที่รักษางานนี้ไว้มันเป็นเรื่องของงาน สิ่งที่เรื่องของงานนี้เป็นการทรงตัวไว้ แล้วต้องมีความคิดว่า อันนี้มันไม่ใช่ความจริง มันก็ไปเกิดดับ มันเป็นอนิจจัง สิ่งที่เป็นอนิจจัง มันเกิดดับสภาวะมันเอง ถ้ามันตายตรงนั้นมันไปเกิดเป็นพรหม มันก็ยังต้องไปตามสภาวะของมัน มันอยู่ในสภาวะของมัน เพราะมันมี อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา เราไม่เข้าใจสิ่งนั้น
ถ้าเราเข้าใจสิ่งนั้น เราถึงว่าย้อนกระแสกลับ ถ้าเข้าใจก็เริ่มจากทวนกระแส ถ้าทวนกระแสเข้ามาจะไปจับต้องสิ่งนี้ได้ ถ้าจับต้องสิ่งนี้ได้นั้นคือตัวอวิชชา ถ้าเจอตัวอวิชชาคือ เจอตัวใจ นี้คือตัวพลังงานเฉยๆ ไม่ใช่ขันธ์ ถึงเวลาเจอตัวไม่ใช่ขันธ์ ถึงต้องพิจารณาตรงนี้ การพิจารณานี้ ปัญญาญาณเกิดขึ้นอันละเอียด ปัญญาอย่างหยาบคือปัญญาอย่างหยาบๆ สภาวธรรมมันอย่างหยาบขึ้นมา มันก็หยาบขึ้นไป สภาวธรรมอย่างละเอียดมันก็ละเอียด นั่นน่ะ พลังงานของธรรม
พลังงานของธรรมเป็นการเกิดขึ้นมาจากใจที่เราประพฤติปฏิบัติ ถ้าพลังงานตรงนี้เกิดขึ้นมามันก็เป็นปัญญาขึ้นมา ถ้าพลังงานไม่เกิดขึ้นมา มันเป็นสัมมาสมาธิอยู่เฉยๆ ถ้าพลังงานเกิดขึ้นมามันเป็นปัญญาแล้วย้อนกลับ ถ้าย้อนกลับขึ้นไปได้ นั่นน่ะ มันถึงว่าเป็นการเข้าไปเห็นตัวของใจ ถ้าจับต้องใจ เป็นสิ่งที่มหัศจรรย์ลึกลับมาก
จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้หมองไปด้วยอุปกิเลส แต่ความผ่องใสของใจ เราเข้าใจว่าความว่าง ความผ่องใสนี้เป็นความว่างที่สิ้นสุดของทุกข์ไง สิ้นสุดของทุกข์คือความสว่าง ความผ่องใส ความว่าง ความว่างนี้ใครเป็นคนบอกว่าเป็นความว่าง ความผ่องใสนี้ พลังงานเกิดมาจากไหน
จะมีความผ่องใสได้ ต้องมีตัวพลังงานเกิดขึ้นมา มันจะเกิดขึ้น ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นมาลอยๆ เลย ต้องมีสมุฏฐานขึ้นมาถึงจะเกิดสิ่งนี้ได้ แล้วเราไปจับสมุฏฐานสิ่งนี้ได้ แล้วเราพลิกสมุฏฐาน สิ่งนี้พลิกออกไปจากใจ ออกไปจากใจ ใจดวงนี้เป็นสักแต่ว่าภาวะของเขาเฉยๆ จะว่าใจก็ไม่ใช่ จะไม่ว่าไม่ใช่ใจก็ใช่ มันทั้งใช่และไม่ใช่ ถ้าว่าใช่ก็ไม่ใช่ ถ้าว่าไม่ใช่ก็ใช่ นั้นมันถึงว่าเป็นสภาวะของเขาไง ความว่างอันนี้รู้ว่าว่างเฉยๆ มันเป็นสิ่งที่เป็นอยู่ในตัวนั้น นั้นคือสภาวะตามความเป็นจริง
ธรรมของใจดวงนั้นเกิดขึ้นมาจากใจ ใจดวงนี้เกิดขึ้นมาเพราะเรามีความต่อสู้ เรามีการพยายามตั้งใจ แล้วเราต่อสู้ใจของเราขึ้นมา ถ้าเราไม่มีความต่อสู้ เราไม่มีความก้าวเดิน เราจะโดนกิเลสหลอกใช้ไปตลอด กิเลสในหัวใจของเราข่มขี่เรา แล้วใช้เราตลอดไป ใช้เรานะ เพราะมันอยู่กับจิต ใช้ดวงจิตนี้เป็นสถานะแล้วพาเกิดพาตาย จะเวียนตายเวียนเกิดไปตามอำนาจของเขา แต่ถ้าชำระสิ่งนี้ได้ กิเลสตายออกไปจากใจ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสะอาดบริสุทธิ์ขึ้นมา ใจไม่มีสิ่งนั้นแล้วกระทบกระเทือนกับสิ่งนั้น ไม่มีสิ่งใดกระทบกระเทือน เว้นไว้แต่กระเพื่อมเห็นไหม เว้นไว้แต่กระเพื่อม ใจนี้กระเพื่อมมาเสวยขันธ์ สิ่งที่เสวยขันธ์นี้เป็นสมมุติ เป็นสิ่งที่สื่อความหมาย
เป็นสื่อความหมาย แต่เป็นสื่อความหมายของผู้ที่ว่าไม่มีกิเลสไง เป็นขันธ์ เป็น ภารา หเว ปญฺจกฺขนฺธา เป็นภาระรับรู้สิ่งนั้น จนถึงที่สุด ถึงเป็นสอุปาทิเสสนิพพาน แต่ถ้าถึงที่สุดแล้วเป็นอนุปาทิเสสนิพพาน คือเศษส่วนของสิ่งที่เป็นภาระนี้ จะไม่มีกลับไปหัวใจดวงนั้นถ้าตายไป แต่ถ้ายังไม่ตายไป ยังมีเศษส่วนอยู่ แต่เป็นภาระเฉยๆ สิ่งที่เป็นภาระก็สืบต่อมาจนถึงทุกวันนี้เห็นไหม ธรรมและวินัยสืบต่อมา เพราะสิ่งนี้สืบต่อมา วางไว้ให้เราเดิน ถ้าเราจะก้าวเดินตามธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราก็ต้องเดินตามขึ้นมาจากในหัวใจของเรา
สิ่งที่เป็นพลังงานของใจ พลังงานของใจเกิดขึ้นได้ มันก็เป็นสิ่งที่เป็นพลังงานชำระกิเลส ถ้าพลังงานเกิดขึ้นไม่ได้ จะไม่มีสิ่งใดชำระกิเลส สิ่งนี้ สิ่งที่ว่าเป็นธรรม เป็นธรรมนั้นเป็นเครื่องดำเนิน เป็นเป้าหมาย เป็นแผนที่เครื่องดำเนิน เป็นแผนที่ก็เป็นแผนที่อยู่เฉยๆ ถ้าเราไม่ลงสำรวจพื้นที่ ถ้าเราลงสำรวจพื้นที่ เราสำรวจพื้นที่ในหัวใจของเรา สำรวจพื้นที่ในหัวใจ ในหัวใจนี้มีกิเลสอยู่ตรงไหนบ้าง ในหัวใจนี้มีกิเลสผูกมัดระหว่างขันธ์กับจิตนี้ตรงไหนบ้าง แล้วปล่อยวางเป็นชั้นเป็นตอนเข้ามา นี้คือการสำรวจพื้นที่แล้วเป็นการปล่อยวางขึ้นมา นั้นคือพลังงานของธรรมที่เกิดขึ้นจากใจดวงนั้น
พลังงานของธรรมเกิดขึ้นมาจากใจนั้นเป็นมรรคอริยสัจจังเกิดขึ้นจากใจ ใจมีมรรคอริยสัจจังเกิดขึ้นจากใจดวงนั้น ใจดวงนั้นก็พัฒนาขึ้นไปเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป จนถึงที่สุดก็ต้องขาดสิ้นได้ ใจนี้ขาดสิ้นขาดหมด กิเลสขาดออกไปจากใจ กิเลสขาดออกไปจากใจ เป็นเพราะเราก้าวเดิน
นี่กิเลสพาทุกข์นั้นมันก็เป็นทุกข์ แต่เวลามันขาดไปแล้วเป็นความสุข มันก็จะบอกว่าเป็นความสุขในใจ ใจจะรับรู้ตามสภาวะของใจ ใจนี้เป็นสิ่งที่มหัศจรรย์ เวลาทุกข์ขึ้นมานี่ เวลาแบกรับความทุกข์มันไม่รู้จักสิ่งนั้น มันแบกหามไปได้ มันไม่รู้เกิดรู้ตายไปกับเขา นั่นน่ะเวลาความทุกข์กดขี่ กิเลสกดขี่ใจ มหัศจรรย์มาก มันลึกลับไง สิ่งนี้ลึกลับมาก ไม่มีใครสามารถรู้ได้ ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ตรัสรู้ขึ้นมา พวกเราก้าวเดินจะไม่มีทางสามารถรู้ได้เลย มันลึกลับมหัศจรรย์ แต่เวลามันพ้นออกไปจากใจได้ ใจนี้พ้นออกไปแล้ว มันจะไม่มีอีกเลย สิ่งที่ไม่มีเพราะเหตุใด
เพราะมันสมุจเฉทปหาน มันฆ่าแล้วมันขาดออกไปเป็นชั้นเป็นตอน สิ่งที่ขาดออกไปแล้ว ใจรับรู้อยู่ที่มันปล่อยวาง...ก็รู้ รู้อยู่ว่าปล่อยวางขึ้นมา ยังมีหัวใจอยู่ตลอดไป จนถึงที่สุดแล้วชำระหัวใจ จนหัวใจไม่มีเลย มันก็รู้ สักแต่ว่ารู้ เหมือนกับขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ เหมือนกัน
สิ่งที่เป็นขณิกะ ขณิกะชั่วคราวเห็นไหม อุปจาระนี้ก็เป็นอุปจาระชั่วคราว อัปปนาสมาธิ สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่ารู้แต่ยังมีกิเลสอยู่เพราะเป็นสัมมาสมาธิ เป็นสิ่งที่เป็นสมาธิ ไม่ใช่เกิดปัญญา นี้ก็เหมือนกัน เวลาปล่อยวางเข้ามามีตัวรู้ตลอดไป ตัวรู้ตลอดไป ถึงที่สุดแล้วขาดหมด ไม่มีตัวรู้ ตัวรู้นั้นเป็นตัวอวิชชา สิ่งที่เป็นตัวรู้ปล่อยวางสิ่งต่างๆ เข้ามาทั้งหมด ปล่อยวางสิ่งต่างๆ เข้ามา แล้วมาถึงตัวเรา เราคืออะไร? เราคือตัวรู้ ต้องทำลายตัวรู้ สิ่งที่ทำลายตัวรู้ ใครจะกล้าทำลายตัวเอง
จะไม่กล้าทำลายตัวเอง เพราะต้องสงวนรักษาตัวเอง ตัวเองนี้เป็นผู้รับผลประโยชน์ไง ถึงที่สุดแล้ว วิมุตติจะไปอยู่ที่ไหน ถ้าปล่อยวางสิ่งต่างๆ ทั้งหมด จะมีความสุขได้อย่างไง มันจะมีความสุขได้เพราะมันเป็นวิมุตติ มันจะปล่อยวางสิ่งต่างๆ ทั้งหมด ถ้ามันไม่ปล่อยวางสิ่งต่างๆ มันก็ต้องเป็นสมมุติตลอดไปสิ เพราะสิ่งนั้นเป็นสมมุติ เกาะเกี่ยวกับสมมุติอยู่ ทิ้งสมมุติทั้งหมดมันก็จะเป็นวิมุตติ สิ่งที่เป็นวิมุตติมันจะเป็นความเป็นความรู้สึกจากภายใน เป็นใจดวงนั้นเพราะมีมรรคอริยสัจจัง เพราะมีความก้าวเดินขึ้นมาของใจ ใจนี้ก้าวเดินขึ้นมา ถึงจะเป็นถึงที่สุดได้ ถ้าใจไม่ก้าวเดิน ใจจะเป็นกิเลสอย่างนี้
วันนี้วันออกพรรษา ทั้งพรรษาแล้วเราปฏิบัติ เราจะได้ผลประโยชน์ขนาดไหน ถ้าเราได้ประโยชน์ เวลาเราทำต่อไปมันจะได้ประโยชน์ต่อไป ถ้าไม่ได้ประโยชน์เวลามันคิดออกไป มันจะคิดออกนอกลู่นอกทาง คิดไปทางอื่น คิดออกไปนะ คิดเรื่องของโลกมัน เป็นเรื่องของความหยาบๆ คิดออกวิเวก คิดออกป่าออกเขา นั้นก็เป็นเรื่องการหาสถานที่เพื่อจะชำระกิเลสต่อไป ถ้ากิเลสยังอยู่ในหัวใจ เราต้องทำงานของเราตลอดไป ถ้ากิเลสอยู่ในหัวใจ เราเป็นผู้พ่ายแพ้ เราพ่ายแพ้กับกิเลส เราจะยุ่งกับเรื่องของโลก ถ้าเราประพฤติปฏิบัติ เราเกี่ยวข้องกับโลกไป มันจะเป็นเรื่องความพะรุงพะรังของใจ
ถ้าเราจะประพฤติปฏิบัติ เราต้องทิ้งเรื่องของโลก โลกของโลกเป็นเรื่องของโลกเขา ปล่อยให้โลกเขาไป แล้วเราจะออกหาที่สงบสงัด หาป่าหาเขาเพื่อจะประพฤติปฏิบัติ นี่มันจะเป็นเรื่องของสภาวธรรมในหัวใจ ถ้าสภาวธรรมในหัวใจนั้นมันมีส่วนนี้อยู่ มันก็จะแสวงหาสิ่งที่เป็นประโยชน์กับมัน
ถ้าสภาวะกิเลสของในหัวใจมันมีอยู่ มันจะแสวงหาสิ่งที่เป็นโทษกับมัน สิ่งที่เป็นโทษกับมันคือความแสวงหาสิ่งที่ว่าเรื่องของโลก ติดได้ทั้งหมด เรื่องการก่อสร้าง เรื่องการทำงานต่างๆ เรื่องคือการงาน คือเรื่องสิ่งที่ติดเป็นภาระทั้งหมด เป็นภาระของใจ ใจเป็นภาระของใจ ใจมีกิเลสอยู่ ใจต้องมีเครื่องดูดดื่ม ดูดดื่มกับเรื่องภายนอก สิ่งที่เรื่องภายนอกเป็นดูดดื่มของกิเลส นั่นกิเลสแสดงตัว
สิ่งที่กิเลสแสดงตัวขนาดไหนมันเป็นเรื่องของว่า เราประพฤติปฏิบัติแล้วไม่สมควรแก่ธรรม ไม่สมควรแก่ธรรมก็ต้องไปดูดดื่มกับสิ่งนั้น ให้เป็นเครื่องอยู่อาศัย มันจะอยู่อาศัยกันไง แต่ถ้ามันมีธรรมขึ้นมา เรื่องอย่างนั้นเป็นเรื่องทำให้จิตนี้ฟู ทำให้จิตนี้ส่งออก มันจะปล่อยวาง ปล่อยวางทั้งหมดเข้ามา เกี่ยวกับอิริยาบถ ๔ เท่านั้น เดิน ยืน นั่ง นอน นี้เพื่อปฏิบัติธรรมเท่านั้น
สิ่งที่ปฏิบัติธรรมนั้นคือการขยำ คือการต่อสู้ การจะปลดเปลื้องกิเลส สิ่งที่จะปลดเปลื้องกิเลสมันต้องปล่อยเรื่องข้างนอกเข้ามา ถ้าใจสูงขึ้นมา ใจมีภาวะขึ้นมา มันจะเป็นสภาวะที่สูงขึ้น ภวาสวะภพของใจรับรองให้สิ่งนี้สูงขึ้น สูงขึ้นไป จนถึงที่สุด ภวาสวะ อาสวะ กิเลสสวะ อาสวะ ๓ ต้องทำลายทั้งหมดเลย สิ่งที่เป็นภวาสวะรับสภาวธรรมนั้นสูงขึ้นมาก็ต้องทำลาย ทำลายขึ้นไป จนถึงที่สุด พ้นออกไปจากกิเลส พ้นออกไปจากกิเลสเพราะสภาวธรรมอันนี้สูงขึ้นมา เป็นธรรมจากใจล้วนๆ เลย ใจดวงนั้นเป็นสภาวธรรมทั้งหมด เป็นสภาวธรรมสมกับความเป็นจริง เป็นธรรมแท้ ธรรมแท้คือธรรมภาคปฏิบัติ
สิ่งที่ปฏิบัติทุกข์ยากลงทุนลงแรงขนาดไหน ทุกข์ยากขึ้นมาเพื่อให้ใจเข้มแข็งขึ้นมา ใจอ่อนแอ ใจทรงตัวไม่ได้ ใจไม่เชื่อสิ่งใด ใจเหลาะแหละ ใจเกาะเกี่ยวกับสิ่งใด เป็นสภาวะที่เรื่องของโลกเกาะเกี่ยวเห็นไหม นี่กิเลสเป็นอย่างนั้น กิเลสอิงกับสิ่งต่างๆ ตลอด เพื่อจะให้กิเลสนี้ได้แสดงตัว ให้มันกินเหยื่อออกไป แล้วมันแสดงตัวของมันตลอดไป นั่นน่ะอิงต่างๆ ตลอดไป นั้นเป็นเรื่องของกิเลส
แต่สภาวะของธรรมปล่อยวางทั้งหมด ปล่อยวางเรื่องของโลก ปล่อยวางเรื่องของความเป็นไป แล้วกลับเข้ามาอยู่กับความเพียร ความเพียรนี้เป็นเรื่องของกาย เห็นไหม กายนี้ก็เป็นโลกอันหนึ่งแต่มหัศจรรย์ มหัศจรรย์เพราะจิตที่ว่ามันปล่อยวางแล้ว มันปล่อยวางได้อย่างไร กายกับจิตแยกออกจากกันโดยธรรมชาติของมัน กายก็คือกาย จิตก็คือจิต
แล้วเวลาปล่อยวางขันธ์ขึ้นมา ถึงที่สุดแล้วมันก็ปล่อยวางจนหมด จนจิตนี้สักแต่ว่าจิต จิตนี้ไม่ใช่ตัวจิต ถ้าจิตตัวนี้เป็นตัวจิตคือเป็นอัตตา สิ่งที่เป็นจิตคือตัวอัตตา สิ่งที่เป็นตัวอัตตา ถึงที่สุดแล้ว ว่างขนาดไหนก็ต้องทำลายอัตตานุทิฏฐิตัวนี้ ตัวที่รู้ว่าว่างๆ นี้เป็นอัตตานุทิฏฐิตัวสุดท้าย รับรู้สิ่งใด? รับรู้เรื่องของเขาทั้งหมดเลย แล้วมาถึงทำลายตัวมันเอง
สิ่งที่ทำลายตัวเองต้องเป็นสภาวธรรม เห็นไหม นั่นคือมรรคอริยสัจจัง มรรคอันละเอียด ทางอันละเอียด ทางอันเอกที่จะชำระกิเลส เกิดขึ้นมาจากเรา เราพอใจ เราจงใจ เราตั้งใจทำ สิ่งที่เราตั้งใจทำเกิดขึ้นมาจากเราทั้งหมดเลย นั้นคือจิตภาวะที่สูงขึ้น สูงขึ้น เราทำมาต้องให้จิตสูงขึ้น พัฒนาขึ้น มันเป็นสภาวธรรม ดูดดื่มกับธรรม
แต่ถ้ามันไหลไปตามกิเลสแล้ว มันจะลงต่ำไปตลอด เหมือนน้ำ น้ำจะไหลลงต่ำ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าทวนกระแส ถ้าทวนกระแสกิเลส ทวนกระแสน้ำขึ้นไป ทวนกระแสเข้าไปหาใจ ถ้าทวนกระแสเข้ามาได้ มันก็จะเป็นสิ่งที่ภาวะใจนี้สูงขึ้น
ใจคิดถึงแต่ในมรรคอริยสัจจัง คิดถึงงานของใจ ไม่คิดถึงงานของโลก ใจทำทั้งหมดนะ งานของโลกก็ใจแบกหาม ใจพอใจ ใจถึงไปคิดเรื่องงานของโลก ใจคิดเรื่องงานของธรรมก็คือเรื่องการประพฤติปฏิบัติก็เป็นงานของธรรม สิ่งที่เป็นธรรมก็มัชฌิมาปฏิปทา มันถึงเป็นธรรม ธรรมที่ว่าเป็นธรรม เอโก ธัมโม ถึงที่สุดแล้ว เป็นธรรมอันเดียว ธรรมทั้งแท่ง จะเป็นธรรมทั้งแท่งอยู่ในหัวใจดวงนั้น ไม่ใช่เรื่องของโลก ไม่ใช่เรื่องของอัตตา ไม่ใช่เรื่องของใจ ไม่ใช่เรื่องของใดๆ ทั้งสิ้น มันเป็นสภาวธรรมที่มีอยู่โดยดั้งเดิม
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาเห็นธรรมอันนี้ ถึงว่ามันเป็นสิ่งที่ละเอียดลึกซึ้ง ลึกเหลือลึก กว้างแสนกว้าง แล้วบัญญัติออกมาเป็นทาน ศีล ภาวนา ศีล สมาธิ ปัญญา ให้เราก้าวเดินตามแต่สถานะของใคร ผู้ที่เป็นคฤหัสถ์ก็มีโอกาสทำอย่างนั้น ผู้ที่เป็นนักบวชเห็นไหม เป็นผู้นักบวชก็ต้องทำศีล สมาธิ ปัญญา มีศีลโดยธรรมชาติ มีศีลสมบูรณ์ตั้งแต่วันบวช บวชออกมาศีลสมบูรณ์ ศีล ๒๒๗ นี้มีสมบูรณ์อยู่แล้ว แล้วสมาธิเกิดขึ้นหรือไม่เกิดขึ้น ถ้าเกิดขึ้นมาก็ใจอบอุ่น สิ่งที่อบอุ่นของใจ ใจมีที่พึ่งที่อาศัย ปัญญาเกิดขึ้นมาก็ชำระกิเลส ชำระกิเลสถ้าปัญญาแก่กล้าขึ้นมา ปัญญาอย่างอ่อนขึ้นมาต่อสู้ก็ล้มลุกคลุกคลานไป นั้นแล้วแต่อำนาจของกิเลสจะมีอำนาจขนาดไหน อำนาจของกิเลสต่อสู้กับธรรมตลอด จนกว่าธรรมนี้เหนือกว่าๆ จนชำระออกไปจากใจ นั้นคือใจที่สูงส่ง
พลังงานของธรรม พลังของธรรมจากใจดวงนี้สมบูรณ์ แล้วจะพาใจดวงนี้มีความสุข มีความสุขโดยไม่แปรปรวน วิมุตติสุขนี้เป็นสุขสมบูรณ์ในใจนั้น ถ้าเป็นโลก ยังไม่สมบูรณ์ มันก็หมุนไปตามกระแสโลก ถ้าเป็นกระแสธรรม นี่เกิดขึ้นจากเรา เกิดขึ้นจากใจเรานะ เรามีหัวใจ เรามีเวลาอยู่ ลมหายใจเข้าลมหายใจออกอยู่ ยังมีชีวิตอยู่นี้ มีโอกาสมาก ถึงที่สุดแล้วทุกคนต้องตาย ถ้าตายไปเราได้สมบัติขนาดไหน มันก็เป็นสมบัติของเราขนาดนั้น เราได้สมบัติน้อยมันก็เป็นสมบัติน้อยของเรา ถ้าเราได้สมบัติมากก็เป็นสมบัติของเรา สมบัติของใจไปพร้อมกับใจ
สมบัติของโลกมีมากขนาดไหนต้องทิ้งไว้ สร้างวัดสร้างวา เจ้าอาวาสแต่ละองค์ตายไปๆ ไม่มีเจ้าอาวาสองค์ไหนเอาวัดเอาวาไปด้วย วัดวาก็เป็นเรื่องของโลกเขา แล้วตัวเองไปก็ได้แต่คุณงามความดีของใจดวงนั้นไป สร้างโลกก็เป็นแบบนั้น ถ้าเราสร้างโลก สมบัติโลกก็ต้องเป็นสมบัติของโลก สมบัติธรรมถ้าเราสร้างกันเป็นสมบัติธรรม แล้วจะไปกับใจดวงนั้นตลอดไป เอวัง